วันอังคารที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

โพธิปักขิยธรรมภาคปฏิบัติ โดยพระภาวนาวิสุทธิคุณ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม) ๕ ธันวาคม ๒๕๓๒

วันนี้จะชี้แจงภาคปฏิบัติธรรม แยกรูปแยกนามในโพธิปักขิยธรรม ให้ญาติโยมฟังเพื่อนำมาเป็นหลักปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ เหตุผลที่ให้ปฏิบัติโดยไม่ห่วงภาควิชาการ ให้ปฏิบัติค้นหาเหตุผลให้กุศลเกิดขึ้นจากวิธีปฏิบัติให้ผุดขึ้นมาในดวงใจเองนั้น เพราะท่านทิ้งความรู้เดิมที่เป็นทิฐิมานะในชีวิตของตนให้หมดจากจิตใจไป การปฏิบัติจริงนั้น เกิดจากดวงใจคือภาวนา เป็นปัญญาใสสะอาด ผุดขึ้นมาเอง จึงจะเป็นการปฏิบัติได้ของจริงด้วยความถูกต้อง ดังนั้นจึงต้อง ห้ามดูหนังสือ ห้ามคุยกัน ที่พูดย้ำมานานคือ กินน้อยนอนน้อย ทำความเพียรมาก หากปฏิบัติได้ตามองค์ภาวนานี้ ก็จะพบวิชาการ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงศึกษาค้นพบด้วยพระองค์เอง เรียกว่าวิชาพ้นทุกข์ และมาแยกแยะออกไปในรูปนาม ขันธ์ ๕ เป็นอารมณ์ อายตนะ ธาตุ อินทรีย์ บอกหน้าที่การงาน พละ ๕ ประการ เป็นต้น ก็ได้จากวิธีปฏิบัติภาวนานี้ทั้งหมด พระอรหันต์สมัยพุทธกาล มีพระมหากัสสปเถระ เป็นประธานประชุมกันทำสังคายนา รวบรวมท่องจำแล้ว จารึกเป็นพระไตรปิฎก หยิบยกขึ้นมาเป็นวิชาการให้พวกเราได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมตราบจนทุกวันนี้ การแสวงหาที่สงบในอรัญราวป่า คือรุกขมูล เป็นการปฏิบัติให้จิตสงบ ในเมื่อจิตสงบไม่ฟุ้งซ่านแล้ว ปัญญาก็เกิดขึ้นในสังขารที่ปรุงแต่ง เกิดเป็นวิญญาณ แสดงท่าทีออกมา โดยแยกรูป แยกนาม ขันธ์ ๕ เป็นอารมณ์ออกมาได้ โดยวิธีนี้ถือว่าเป็นข้อปฏิบัติ แต่ปฏิบัติเกิดก่อนปริยัติแน่ พระพุทธเจ้าไปปฏิบัติก่อน จนสำเร็จสัมโพธิญาณแล้ว จึงได้แยกแยะออกไป เป็นจิต เจตสิก รูป นิพพาน ออกไปตามรูปการณ์อย่างนี้ ในการปฏิบัติจะเหลือ ๒ คือ สติ สัมปชัญญะ ที่กำหนด ใช้สติกำหนดจิต ให้จิตรู้หน้าที่การงานโดยถูกต้อง แล้วจะเหลืออยู่หนึ่งเดียว คือความไม่ประมาท ดำเนินชีวิตด้วยความถูกต้อง นี่เป็นหลักปฏิบัติ ต่อไปนี้จะบรรยายโพธิปักขิยธรรมภาคปฏิบัติให้ญาติโยมฟัง คำว่า " โพธิปักขิยธรรม " แยกออกแล้วมีความหมายอย่างนี้ " โพธิ " แปลว่า รู้ รู้โดยความหมายของคำว่าโพธินี้หมายถึง การรู้ที่จะทำให้สิ้นอาสวะ คือ รู้อริยสัจ ๔ " ปักขิย " แปลว่า ที่เป็นฝ่าย โพธิปักขิยธรรม จึงหมายความว่า ธรรมที่เป็นฝ่ายรู้ถึงมรรคผล ถ้าจะแปลสั้น ๆ ก็ว่า ธรรมที่เป็นฝ่ายให้ถึงการตรัสรู้
โพธิปักขิยธรรมนี้ แบ่งออกเป็น ๗ กอง รวมเป็นธรรมะ ๓๗ ประการ ในธรรม ๓๗ ข้อนี้ จะได้องค์ธรรมที่ไม่ซ้ำกัน ๑๔ องค์ ขอให้ทำความเข้าใจไว้ก่อนตามที่กล่าวนี้โพธิปักขิยธรรม ๗ กอง ได้แก่
๑.สติปัฏฐาน มี ๔ ประการ
๒.สัมมัปปธาน มี ๔ ประการ
๓.อิทธิบาท มี ๔ ประการ
๔.อินทรีย์ มี ๕ ประการ
๕.พละ มี ๕ ประการ
๖.โพชฌงค์ มี ๗ ประการ
๗.มรรค มี ๘ ประการ
กองที่ ๑ ได้แก่ สติปัฏฐาน ๔ ที่ปฏิบัติอยู่ ณ บัดนี้ สติ ความระลึกรู้อารมณ์ เป็นธรรมฝ่ายดี รู้ทันอารมณ์ในสติปัฏฐาน ได้แก่ กาย เวทนา จิต ธรรม สติที่ระลึกรู้ กาย เวทนา จิต ธรรม มีจุดประสงค์จำแนกเป็น ๒ ทาง คือ
๑.ถ้าเจริญสมถภาวนา ก็พิจารณาตั้งมั่นในบัญญัติ เพื่อให้จิตสงบ มีอานิสงส์ให้บรรลุ ฌานสมาบัติ
๒.ถ้าเจริญวิปัสสนาภาวนา ก็พิจารณาตั้งมั่นอยู่ในรูปนาม เพื่อให้เกิดปัญญา เห็นพระไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มีอานิสงส์ให้บรรลุถึงมรรค ผล นิพพาน
การพิจารณาไตรลักษณ์ ก็เพื่อให้รู้สภาพตามความเป็นจริงว่า สิ่งทั้งหลายที่ยึดถือเป็นตัวตนเป็นชายหญิงนั้นล้วนแต่เป็นเพียงรู้เป็นเพียงรูปกับนามเท่านั้น และรูปนามเหล่านั้นยังมีลักษณะเป็น อนิจจัง เป็นทุกขัง เป็นอนัตตา หาแก่นสารไม่ได้เลย จะได้ไม่ติดอยู่ในความยินดีพอใจ อันเป็นการเริ่มต้นที่จะให้ถึงการดับทุกข์ต่อไป
ฉะนั้นสติปัฏฐาน ๔ จึงเป็นทางสายเอก จัดว่าเป็นทางสายเดียวที่สามารถให้ผู้ที่ดำเนินตามทางนี้ ถึงความรอบรู้ความจริงจนบรรลุพระนิพพาน ดังนั้นผู้ปรารถนาจะบรรลุถึงมรรค ผล นิพพาน ต้องเริ่มต้นด้วยสติปัฏฐาน เพื่อบรรลุญาณธรรม เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน
ญาณธรรม คือ ธรรมที่ควรรู้มีอยู่ ๕ ประการ ได้แก่
๑.สังขาร คือ ธรรมที่ปรุงแต่ง ได้แก่ จิต เจตสิก รูป
๒.วิกาล คือ ธรรมที่เปลี่ยนแปลงผันแปร ได้แก่ ธรรมที่เปลี่ยนแปลงผันแปรของสัตว์ที่เป็นไปในภพต่าง ๆ
๓.ลักษณะ คือ ธรรมที่เป็นเหตุให้รู้ให้เห็น ได้แก่ลักษณะของสภาวะ
๔.นิพพาน คือ ธรรมที่พ้นจากกิเลส คือ อสังขตธรรม อสังขตธรรมนี้เราก็จะมองเห็นเด่นชัดเช่นเดียวกัน
๕.บัญญัติ คือ ธรรมที่สมมติใช้พูดจาเรียกขานกัน ได้แก่ อัตถบัญญัติ และสัททบัญญัติ
อารมณ์ของสติปัฏฐาน มี ๔ อย่าง คือ
๑.กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือ สติที่ตั้งมั่นพิจารณากายเนือง ๆ ได้แก่สติที่กำหนดรู้ ที่เรากำหนดอยู่ ณ บัดนี้ ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก อิริยาบถใหญ่ คือ ยืน เดิน นั่ง นอน อิริยาบถย่อย ได้แก่การเคลื่อนไหว คู้เหยียด เหยียดขา เป็นต้น เพื่อให้ตระหนักว่า การยืน การเดิน นั่ง นอน อันเป็นการเคลื่อนไหวของร่างกายนั้น เกิดจากธาตุลมที่มีอยู่ในร่างกาย โดยอำนาจของจิต ทางธรรมะ เรียกว่า รูป คือ รูปที่เกิดจากจิต หาได้มีผู้ใดมาบงการแต่อย่างใดไม่ ในบางแห่งจะพบว่าพิจารณากายในกาย หรือ กายในอันเป็นภายใน กายในอันเป็นภายนอก คำเหล่านี้เป็นภาษาธรรมะ อธิบายกันเป็นหลายนัย เช่น กาเยกายานุปัสสี แปลว่าเห็นกายในกาย คำว่า กาเย หมายถึง รูปกับกาย คือ กัมมัชรูป แต่ร่างกาย มีทั้งจิต เจตสิก และรูป ส่วนคำว่า กายานุปัสสี หมายเพียงให้ กำหนดดูแต่รูปธรรม เท่านั้น คือดูรูปอย่างเดียว ไม่ใช่ดูจิต เจตสิกที่มีอยู่ในร่างกายด้วย คำว่า กายในกาย หมายตรงว่า รูปในรูป แต่ในร่างกายนี้มีมากมายหลายรูป แต่ให้พิจารณาดูรูปเดียวในหลาย ๆ รูปนั้น เช่น จะพิจารณาลมหายใจ เข้าออก พองหนอ ยุบหนอ คือ ลมหายใจเข้าก็พอง ลมหายใจออกก็ยุบ ก็พิจารณาวาโยธาตุแต่รูปเดียว เรียกว่าอานาปาณสติ ลมหายใจเข้าออก พองหนอ ยุบหนอ เรียกว่า อานาปาณสติ ส่วนคำว่า กายในอันเป็นภายใน และกายในอันเป็นภายนอกนั้น ถ้าพิจารณาดูรูปในกายของตนเองก็เป็นภายใน รูปในกายผู้อื่นถือว่าเป็นภายนอก ดังนี้
๒.เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน การพิจารณาเวทนานี้ ใช้ในการเจริญวิปัสสนาอย่างเดียว ต่างกับพิจารณากาย ใช้ได้ทั้งสมถะและวิปัสสนา เพราะจะเพ่งเวทนาโดยความเป็นอารมณ์ของสมถกรรมฐานให้เกิดฌานจิตหาได้ไม่ การพิจารณาเวทนา จะเป็นสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรือ อุเบกขาเวทนาก็ดี เป็นธรรมชาติที่ไม่มีรูปร่างสัณฐานที่จะให้เห็นได้ด้วยตา จึงมิใช่รูปธาตุ แต่เป็นนามธาตุ เวทนาจะเกิดขึ้นเมื่อมีเหตุปัจจัย จะห้ามไม่ให้เกิดก็ห้ามไม่ได้ ครั้นเมื่อหมดเหตุปัจจัยก็จะดับไปเอง หมดไปเอง เป็นต้น อนึ่ง ความหมายเวทนาในเวทนานี้ และเวทนาในเวทนาอันเป็นภายใน ภายนอกก็เป็นทำนองเดียวกับกายในกายตามที่กล่าวมาแล้ว ความจริงเวทนาก็เกิดอยู่ทุกขณะ ไม่มีเวลาว่างเว้นเลย คนทั้งหลายก็รู้สึกสุขบ้าง ทุกข์บ้าง เพราะไปยึดว่า เราสุข เราทุกข์ จึงไม่อาจรู้สภาวะความเป็นจริงได้ เวทนานี้เวลาเกิดขึ้นก็จะเกิดแต่อย่างเดียว เป็นเจตสิกธรรม ปรุงแต่งให้จิตรับรู้
๓.จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน สติตั้งมั่นพิจารณาเนือง ๆ ซึ่งจิต ก็คือวิญญาณขันธ์ ที่กำหนดพิจารณาจิต ก็เพื่อให้รู้เท่าทันว่า จิตที่กำลังเกิดอยู่นั้นเป็นจิตชนิดใด จิตเป็นโลภ จิตโกรธ จิตหลง จิตฟุ้งซ่าน จิตที่เป็นสมาธิหรือไม่เป็นสมาธิ เพื่อให้ประจักษ์ชัดว่า ที่มีความรู้สึกโลภ โกรธ หลง หรือ ศรัทธา ฟุ้งซ่าน เกียจคร้าน เป็นอาการของจิต เป็นธรรมชาติที่เป็นนามธรรม ย่อมเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่มาปรุงแต่ง เพื่อรับอารมณ์ เมื่อหมดเหตุปัจจัย อาการนั้น ๆ ก็ดับไปเอง ไม่มีอะไรเหลืออยู่อันสภาวธรรมที่เรียกว่า จิต นั้น เป็นธรรมชาติที่ไม่มีตัวตน เห็นด้วยตาก็ไม่ได้ จึงไม่ใช่รูปธรรม แต่เป็นนามธรรม เป็นนามจิต ไม่ใช่นามเจตสิก เช่นเวทนา เป็นต้นที่ว่าจิตในจิต หรือ จิตภายใน จิตภายนอกนั้น ก็เช่นเดียวกับที่กล่าวมาแล้วข้างต้นเหมือนกัน
๔.ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน สติตั้งมั่นพิจารณาเนือง ๆ ซึ่งธรรม มีนิวรณ์ อุปาทานขันธ์ อายตนะ โพชฌงค์ อริยสัจ ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐานนี้ เป็นสติในการเจริญวิปัสสนาแต่อย่างเดียว เป็นการพิจารณาให้รู้ให้เห็นทั้งรูปทั้งนาม จึงกล่าวได้ว่าการพิจารณา กาย เวทนา และจิต ย่อมรวมลงได้ในธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐานทั้งสิ้น สรุปแล้วการเจริญสติปัฏฐาน ๔ ก็เพื่อให้เกิดปัญญารู้ว่า กายก็สักแต่ว่ากาย เวทนาก็สักแต่ว่าเวทนา จิตก็สักแต่ว่าจิต ล้วนแต่เป็นเพียงธรรมชาติ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนเราเขา แม้แต่สติหรือปัญญาที่รู้ก็เป็นเพียงธรรมชาติเท่านั้น ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐานนี้ พิจารณาทั้งรูปธรรม นามธรรม ปัญญารู้แจ้งเห็นชัดทั้งรูปทั้งนาม แยกจากกันเป็นคนละสิ่งคนละส่วน รูปก็ส่วนรูป นามก็ส่วนนาม ไม่ปะปนกันไม่ใช่สิ่งเดียวกัน รู้เห็นเช่นนี้จัดว่าเข้าถึงนามรูปปริจเฉทญาณ อันเป็นญาณต้น ที่เป็นทางให้บรรลุถึงมรรคและผลต่อไป
ผลที่ได้รับจากการเจริญสติปัฏฐาน ๔ นั้นก็คือ
๑. พิจารณา กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน อารมณ์ที่พิจารณาก็คือ รูปขันธ์ เหมาะแก่มัณฑบุคคลที่มีตัณหาจริต เพราะนิมิตที่ได้จากการพิจารณา ได้แก่ อสุภสัญญา จะประหาร สุภสัญญา
๒.พิจารณา เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน อารมณ์ที่พิจารณา คือ เวทนาขันธ์ ซึ่งเป็นอารมณ์ละเอียด เหมาะแก่บุคคลซึ่งมีตัณหาจริต เพราะนิมิตที่ได้จากการพิจารณาได้แก่ ทุกขสัญญา ทำให้ประหาร สุขสัญญา เสียได้
๓.พิจารณา จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน อารมณ์ที่พิจารณาคือ วิญญาณขันธ์ ซึ่งมีอารมณ์ไม่กว้างขวางนัก เหมาะแก่มัณฑบุคคลที่มีทิฏฐิจริต เพราะนิมิตที่ได้จากการพิจารณาได้แก่ อนิจจสัญญา ทำให้ประหาร นิจจสัญญา เสียได้
๔.พิจารณา ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน อารมณ์ที่พิจารณา คือ ทั้งรูปทั้งนาม ซึ่งมีอารมณ์กว้างขวางมาก เหมาะแก่บุคคลที่มีทิฏฐิจริต เพราะนิมิตที่ได้จากการพิจารณาได้แก่ อนัตตสัญญา ทำให้ประหาร อัตตสัญญา เสียได้
ฉะนั้นการเจริญสติปัฏฐาน ก็เพื่อให้เกิดปัญญาเห็นรูปเห็นนามที่เคยเห็นว่า สวยงาม เห็นว่าเป็น ความสุขสบาย เห็นว่า เที่ยง เห็นว่าเป็นตัวตน จะได้รู้ว่าของจริงแท้นั้นเป็นประการใด โดยการเข้าใจเห็นแจ้งว่า สภาวะนั้นประกอบด้วย ไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา การเจริญสติปัฏฐาน ควรกระทำด้วยความมีสติสัมปชัญญะ
สติ ก็คือ ตั้งมั่นในการพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม อย่างนี้ เพื่อให้เกิดปัญญาเห็นว่า รูป นาม นั้นมีสภาพเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
สัมปชัญญะ คือ ให้พินิจเห็นว่ามีประโยชน์ และพินิจพิจารณาว่าควรทำ จึงทำเพื่อให้เกิดปัญญายิ่ง ๆ ขึ้น จึงจะบรรลุมรรคและผลได้ขอให้เข้าใจว่า อันความพินิจที่จะประกอบด้วยปัญญา หรือ สติสัมปชัญญะนี้ ถ้ามีแก่ผู้ใดแล้ว นับว่าผู้นั้นอยู่ใกล้พระนิพพาน ทั้งนี้เพราะ นัตถิ ฌานัง อปัญญัสสะ ความพินิจย่อมไม่มีแก่ผู้หาปัญญามิได้ นัตถิ ปัญญา อฌายิโน ปัญญาย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ ตัมหิ ฌานัญจะ ปัญญัญจะ นิพพานะ สันติเก ความพินิจกาลปัญญา มีในผู้ใด ผู้นั้นแหละอยู่ใกล้พระนิพพาน
กองที่ ๒ สัมมัปปธาน ๔ คือ เพียรพยายามทำการงานที่ชอบ ความเพียรพยายามชอบ ที่จะจัดเป็นสัมมัปปธาน ต้องประกอบด้วยหลัก ๒ ประการคือ
๑.ต้องเป็นความเพียรพยายามอย่างยิ่งยวด แม้ว่าเลือดเนื้อจะเหือดแห้ง เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกก็ตาม หากยังไม่บรรลุถึงธรรมอันพึงถึงแล้ว ก็จะไม่ถดถอยความเพียรพยายามนั้นต่อไป
๒.ความเพียรพยายามที่ว่ายิ่งยวดนั้น ต้องเป็นไปในธรรม ๔ ประการ จึงจะได้ชื่อว่า สัมมัปปธาน ธรรม ๔ ประการนั้นได้แก่
๒.๑ เพียรพยายามไม่ให้อกุศลที่ยังไม่เกิดไม่ให้เกิดขึ้น
๒.๒ เพียรพยายามละอกุศลที่เกิดแล้วให้หมดไป
๒.๓ เพียรพยายามให้กุศลธรรมที่ยังไม่เกิดขึ้นให้เกิดขึ้น
๒.๔ เพียรพยายามให้กุศลธรรมที่เกิดแล้วให้เจริญยิ่งขึ้น
ข้อควรรู้ ตามธรรมดาอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้วนั้นย่อมดับไปแล้ว และการที่จะลบล้างอกุศลที่เกิดแล้วให้หมดสิ้นไปนั้นย่อมทำไม่ได้ ที่กล่าวว่าจะเพียรพยายามที่ละอกุศลธรรมให้หมดไปนั้น ขอให้เข้าใจว่าเพียงแต่พยายามอย่าไปนึกถึงอกุศลนั้น ๆ อีก เพราะว่าถ้าไปนึกคิดขึ้นอีก ก็จะทำให้จิตใจเศร้าหมอง กระวนกระวายใจ จัดว่าอกุศลได้เกิดขึ้นแล้วทางมโนทวาร จึงต้องพยายามจนลืมเสีย ไม่เก็บมานึกคิดอีก และตั้งใจให้มั่นว่า จะไม่กระทำการใด ๆ ที่เป็นอกุศลอีก ดังนี้แหละจึงจะได้ชื่อว่า เพียรเพื่อละอกุศลที่เกิดแล้วให้หมดไป อีกนัยหนึ่งแสดงว่าอกุศลที่ได้ทำแล้วนั้น ที่ให้ผลแล้วก็มี ที่ยังไม่ให้ผล เพราะยังไม่มีโอกาสก็มี แต่ที่จะอันตรธานสูญหายไปเองนั้นไม่มีเลย แต่ถ้าในชาติใดสามารถประหารสักกายทิฏฐิได้แล้ว ด้วยสัมมัปปธานทั้งสี่นี้ ชาตินั้นแหละถือว่าได้ละอกุศลที่ได้เคยทำมาแล้วอย่างสิ้นเชิง
กองที่ ๓ อิทธิบาท ๔ ธรรมที่เป็นเหตุให้ถึงความสัมฤทธิ์ผล ชื่อว่า อิทธิบาท ความสำเร็จหรือสัมฤทธิ์ผล คือบรรลุถึงกุศลฌานจิต และมรรคจิต ชื่อว่าอิทธิบาท เป็นธรรมที่ให้ถึงความสำเร็จ เป็นกิจการงานอันเป็นกุศลเท่านั้น ได้แก่
๑.ฉันทะ ความพอใจและเต็มใจ
๒.วิริยะ คือความพยายามอย่างยิ่งยวด
๓.จิตตะ คือการที่มีจิตจดจ่อ ฝักใฝ่แน่วแน่
๔.วิมังสา คือปัญญา
มีข้อควรสังเกตว่าองค์ธรรมของอิทธิบาทเหมือนองค์ธรรมของธรรมที่ได้ชื่อว่าเป็นอธิบดี ซึ่งมีความความหมายว่า เป็นไปเพื่อให้กิจการงานสำเร็จผลเช่นกัน แต่กระนั้นก็ยังมีความแตกต่างกันอยู่ คือธรรมที่ชื่อว่า เป็น อธิบดี ได้นั้นจะเป็นไปในกิจการงานอันเป็นทั้ง กุศลและอกุศลส่วนธรรมที่ชื่อว่า อิทธิบาท นั้น เป็นไปเพื่อความสำเร็จกิจอันเป็นกุศลฝ่ายเดียว และต้องเป็นกุศลที่จะให้บรรลุถึง มหคตกุศล คือ ญานจิต และ โลกุตรกุศล คือ มรรคจิต เท่านั้น ดังตัวอย่างเช่น ขโมย ทำการได้สำเร็จ เพราะเขาพยายามและใช้ปัญญาหาวิธีต่าง ๆ จนทำทุจริตนั้นได้ จัดว่าความเพียรและปัญญาของเขานั้นเป็นอธิบดี คือ เป็นหัวหน้าหรือผู้นำ แต่จะเรียกว่าเป็นอิทธิบาทไม่ได้ ขอให้เข้าใจว่าธรรมที่จะชื่อว่าอิทธิบาท ต้องเป็นไปในการให้สำเร็จฌานจิต และมรรคจิตเท่านั้น แม้แต่ฉันทะ วิริยะ จิตตะ และปัญญาของพระอรหันต์ ก็ไม่ชื่อว่าอิทธิบาท เพราะท่านเป็นผู้ที่สำเร็จอันสุดยอดแล้ว อนึ่งการที่สำเร็จกิจนั้น ย่อมประกอบด้วยธรรม ๔ ที่เป็นองค์ธรรมของอิทธิบาท แต่การเกิดขึ้นนั้น อาจจะไม่กล้าเสมอกัน บางทีฉันทะกล้า บางทีวิริยะกล้า หรือ จิตตะกล้า ปัญญากล้า ถ้าธรรมะใดกำลังกล้าก็จัดว่าธรรมนั้นเป็นอิทธิบาท
กองที่ ๔ อินทรีย์ ๕ ธรรมที่เป็นอินทรีย์นี้ หมายถึงธรรมที่เป็นใหญ่ที่เกิดร่วมกับคนจะเป็นได้ทั้งกุศล อกุศล แต่อินทรีย์ในโพธิปักขิยธรรมที่กำลังกล่าวถึงอยู่นี้ มีเพียง ๕ องค์ธรรมเท่านั้น และต้องเป็นไปตามสภาวธรรมที่เป็นกุศล คือรู้ให้ถึงฌานและอริยสัจเท่านั้น ได้แก่ สัทธินทรีย์
๑.สัทธินทรีย์ คือความศรัทธาเป็นใหญ่ในอารมณ์ จะต้องเป็นภาวนาศรัทธาด้วย ไม่ใช่ปกติศรัทธาด้วย ไม่ใช่ปกติศรัทธา ซึ่งมีกำลังไม่แรงกล้า เพราะอกุศลอาจทำให้เสื่อมได้ จึงต้องเป็นภาวนาศรัทธา ที่เนื่องมาจากกรรมฐานต่าง ๆ มีอานาปานสติ เป็นต้น ศรัทธาชนิดนี้แรงกล้าและแนบแน่นในจิตมาก เรียกภาวนาศรัทธาอกุศลจะทำให้ศรัทธาเสื่อมได้ยาก ยิ่งเป็นวิปัสสนาศรัทธาด้วยแล้ว อกุศลไม่อาจจะทำให้ศรัทธานั้นเสื่อมได้เลย ภาวนาศรัทธานี่แหละ ที่ได้ชื่อว่าสัทธินทรีย์ คือมีอินทรีย์แก่กล้าฉะนั้น
๒.วิริยินทรีย์ ความเพียรเป็นใหญ่ในการพยายามอย่างยิ่งยวด ซึ่งต้องเป็นความเพียรที่ต้องบริบูรณ์ด้วยองค์ ๔ แห่งสัมมัปปธาน จึงจะเรียกได้ว่า วิริยินทรีย์ในโพธิปักขิยธรรมนี้
๓.สตินทรีย์ สติที่ระลึกรู้ในอารมณ์ ทันอารมณ์ปัจจุบัน อันเกิดจากสติปัฏฐาน ๔ จึงเรียกสตินั้นว่า สตินทรีย์
๔.สมาธินทรีย์ การทำจิตให้เป็นสมาธิตั้งมั่น จดจ่ออยู่ในอารมณ์กรรมฐาน ไม่ฟุ้งซ่าน จึงจะเรียกสมาธินั้นว่า สมาธินทรีย์
๕.ปัญญินทรีย์ ปัญญาที่ทำหน้าที่เป็นใหญ่ ในสภาวะที่เกิดร่วม ด้วยการรู้แจ้งเห็นจริงว่า รูปนามขันธ์ อายตนะ ธาตุ มีลักษณะเป็นอนิจจัง เป็นทุกขัง เป็นอนัตตา เต็มไปด้วยโทษภัยเป็นวัฏฏทุกข์อนึ่ง ขอให้เข้าใจว่า ธรรมที่เป็นใหญ่ หรือ ที่เรียกว่าเป็นอินทรีย์ในโพธิปักขิยธรรมนั้น แสดงความเป็นใหญ่ในอันที่จะให้ถึงซึ่งควรตรัสรู้ มรรค ผล นิพพาน และมหคตกุศลจิต เท่านั้น
กองที่ ๕ พละ ๕ พละในโพธิปักขิยธรรม นั้น มุ่งหมายเอาเฉพาะกุศลพละเท่านั้น ซึ่งมีลักษณะอยู่ ๒ ประการ คือ อดทน ไม่หวั่นไหวประการหนึ่ง และย่ำยีธรรมที่เป็นข้าศึก อีกประการหนึ่ง ดังนั้น จึงมีเพียงพละ ๕ เท่านั้นคือ
๑.สัทธาพละ ความเชื่อถือเลื่อมใส เป็นกำลังให้อดทน ไม่หวั่นไหว และย่ำยีธรรมอันเป็นข้าศึก มีตัณหา เป็นต้น และต้องเป็นภาวนาศรัทธาที่เกิดจากอารมณ์กรรมฐาน ไม่ใช่ปกติศรัทธา จึงจะมีกำลังอดทน มีกำลังที่จะย่ำยีหรือตัดขาดตัณหาได้
๒.วิริยะพละ ความเพียรพยายาม ก็ต้องเป็นความเพียรอย่างยิ่งยวด จึงจะมีกำลังอดทน ย่ำยีโกสัชชะ คือ ความเกียจคร้าน อันจัดว่าเป็นข้าศึก แก่การปฏิบัติได้แน่นอน
๓.สติพละ สติมีความระลึกได้ในอารมณ์สติปัฏฐานต้องมีสภาพเป็นพละ จึงจะมีกำลังต้านทานข้าศึก อันได้แก่ ปมาทะ ความพลั้งเผลอได้
๔.สมาธิพละ ความตั้งใจมั่นจดจ่ออยู่ในอารมณ์กรรมฐาน จะเพียงเป็นใหญ่เป็นผู้ปกครองในสหภาวธรรมเท่านั้นยังไม่พอ ต้องมีกำลังเป็นพละ คือมีทั้งความอดทน ไม่หวั่นไหว สามารถต้านทานกิเลสอันเป็นข้าศึกของการปฏิบัติได้แก่ วิกเขปะ คือความฟุ้งซ่าน พาให้ออกนอกอารมณ์กรรมฐาน จัดว่าเป็นข้าศึกแก่การเจริญภาวนา
๕.ปัญญาพละ ต้องให้ปัญญานั้นมีกำลังอดทนเข้มแข็งในการที่จะย่ำยี โมหะ คือ ความโง่ หลง งมงาย มืดมน อนธการ เป็นต้น
ฉะนั้นการเจริญสมถภาวนา วิปัสสนาภาวนาก็ดี จะต้องให้พละทั้ง ๕ นี้ ต่างมีกำลังสม่ำเสมอกัน เพราะถ้าพละได้กำลังอ่อน การเจริญภาวนาก็ตั้งมั่นอยู่ไม่ได้
กองที่ ๖ โพชฌงค์ คำว่า โพชฌงค์ มีความหมายดังนี้ โพธิเป็นตัวรู้ โพชฌงค์เป็นส่วนที่ให้เกิดรู้ รวมความแล้วก็คือ องค์ที่เป็นเครื่องให้ตรัสรู้ คือรู้อริยสัจ ๔ สิ่งที่จะรู้อริยสัจ ๔ นั้นคือ มรรคจิต องค์ที่เป็นเครื่องให้รู้อริยสัจ ๔ ที่ชื่อว่าโพชฌงค์นี้มีอยู่ ๗ ประการ และโพชฌงค์แต่ละองค์ ต้องเนื่องมาจากเหตุผลที่ถูกต้องด้วยดังนี้
๑.สติสัมโพชฌงค์ ต้องเนื่องมาจากสติที่ระลึกรู้ในอารมณ์ของสติปัฏฐาน ๔ ไม่ใช่สติที่ปกติระลึกรู้ในอารมณ์ทั่วไป สตินั้นจะต้องเลื่อนฐานะกำลังขึ้นเป็น อินทรีย์ และ พละ แล้วสตินั้นจึงจะเลื่อนมาเป็น โพชฌงค์ เป็นสัมมาสติด้วยอำนาจของวิปัสสนาภาวนา จึงจะทำลายความประมาทได้สติอย่างนี้แหละที่เรียกว่า สติสัมโพชฌงค์ มีความสามารถทำให้เกิดมรรคฌานได้ มีหวังแน่นอนในการที่จะรู้อริยสัจ ๔ สามารถที่จะได้ชื่อว่าเป็นอริยบุคคล ๘ จำพวกได้ ขอให้เข้าใจว่า สติเจตสิกที่จะเป็นโพชฌงค์ ขอให้เข้าใจว่า สติเจตสิกที่จะเป็นโพชฌงค์นั้น ต้องบริบูรณ์ทุกอย่าง บริบูรณ์ด้วยเหตุ ๔ ประการคือ
๑.๑ ต้องมีสติสัมปชัญญะ ในมหาสิตปัฏฐาน ๔ อารมณ์ต้องมาจากสติปัฏฐาน มีสติรู้ในสัมปชัญญะในสติปัฏฐาน ๔
๑.๒ ต้องเว้นจากการสมาคมจากผู้ที่ไม่ได้เจริญสติปัฏฐาน
๑.๓ ต้องเสวนากับผู้ที่เคยเจริญสติปัฏฐานอย่างถูกต้อง และเข้าใจดีด้วย
๑.๔ ต้องพยายามเจริญสติให้รู้อยู่ทุกอารมณ์และทุกอิริยาบถไม่ขาด
ทั้ง ๔ อย่างนี้จะเป็นเหตุช่วยให้ สติสัมโพชฌงค์เกิดขึ้น เพราะถ้าประกอบด้วยเหตุ ๔ ประการนี้แล้ว สติสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด ก็อาจจะเกิดขึ้นได้โดยไม่ลำบากจะเห็นได้ชัดเจนว่า สติสัมโพชฌงค์นี้ ต้องเนื่องมาจากการเจริญวิปัสสนา ไม่ใช่มาจากอย่างอื่น เพียงแต่รักษาศีลหรือเจริญสมาธิเท่านั้นก็ไม่อาจเกิดได้ ต้องเจริญวิปัสสนาในมหาสติปัฏฐาน ๔ ด้วย
๒.ธัมมวิจยะสัมโพชฌงค์ โพชฌงค์นี้ ได้แก่ ปัญญาที่รู้สภาวะของรูปธรรมนามธรรมว่า เป็นอนิจจัง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา คือไม่ใช่ตัวตนที่จะบังคับบัญชาได้ เป็นไปเพื่อความรู้ยิ่งเพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพานฉะนั้นปัญญาที่จะเข้าถึงความเป็นธัมมะวิจยะสัมโพชฌงค์นี้ ไม่ใช่ปัญญาธรรมดาที่รู้อย่างอื่นต้องเป็นปัญญาที่เกิดจากการเจริญสติปัฏฐาน และปัญญานี้จะต้องต่อเนื่องจากอิทธิบาท อินทรีย์และพละด้วยฉะนั้นขอให้ทำความเข้าใจด้วยว่า ธัมมวิจยะสัมโพชฌงค์ ต้องสมบูรณ์ด้วยเหตุ ๔ ประการดังนี้
๒.๑ ต้องเข้าใจวิปัสสนาภูมิ ๖ คือ ขันธ์ อายตนะ ธาตุ อินทรีย์ ปฏิจจสมุปบาท อริยสัจ แต่เมื่อสรุปโดยย่อแล้ว ก็ได้แก่รูปธรรมนามธรรมฉะนั้นเมื่อเราพิจารณารูปนาม ก็ชื่อว่าเราพิจารณาวิปัสสนาภูมิ ๖ แต่ผู้ที่ขาดการศึกษา ก็ไม่สามารถที่จะรู้และเข้าใจแตกฉานในภูมิของวิปัสสนา สำหรับผู้ที่เคยเรียนรู้ปริยัติมาบ้างแล้ว ก็สามารถที่จะเลือกพิจารณาภูมิใดภูมิหนึ่งตามความพอใจ วิปัสสนาภูมิหนึ่งตามความพอใจ วิปัสสนาภูมินี้แหละเป็นอารมณ์ของปัญญาที่จะทำให้ธัมมวิจยะสัมโพชฌงค์เกิดขึ้น
๒.๒ ต้องทำอินทรีย์ให้สม่ำเสมอ คือปัญญากับศรัทธาต้องมีกำลังเสมอกันเมื่อพิจารณา เพราะถ้าศรัทธามากเกินไป ก็จะขาดเหตุผล ถ้าปัญญามากเกินไปแม้จะรู้จะเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เมื่ออ่อนศรัทธา ไม่เลื่อมใสแล้วก็ไม่อาจบรรลุธรรมได้วิริยะกับสมาธิก็เช่นเดียวกัน จำเป็นต้องให้เสมอกัน ถ้าอย่างใดอ่อนหรือแรงเกินไป ก็จะไม่ทำให้ธัมมวิจยะสัมโพชฌงค์เกิดได้เช่นเดียวกัน เพราะถ้าสมาธิมากเกินไปจะเกิดความสงบ ก็จะเพลิดเพลินพอใจความสงบนั้นเสีย ฉะนั้นต้องอาศัยความเข้าใจทำอินทรีย์ให้เสมอกันถ้าศรัทธาสมาธิแรง ก็จะให้ตัณหาความพอใจเกิด และถ้าปัญญามากไปก็จะเกิดวิจิกิจฉาความลังเลสงสัย ทำให้ฟุ้งซ่าน สงสัยไปว่าทำไมจึงเป็นอย่างนั้น ควรจะเป็นอย่างนี้ ทำให้คิดค้นมากเกินไป หรือถ้าปริยัติเข้ามามากเกินไป ปัจจุบันอารมณ์จะพลอยเสียไปด้วย เพราะอาจจะนึกรู้ไปก่อน เป็นวิปัสสนึก จะทำให้ไม่สามารถเข้าถึงโพชฌงค์นี้ได้วิริยะถ้ามากนักก็จะฟุ้งซ่าน ส่วนสมาธิมากก็จะมีอาการคล้ายซึมเซ่อ ซึมเซอะ และเอาแต่ความสงบ จะทำให้ขาดการขวนขวายในธรรมส่วนสตินั้นมีมากเท่าใด รู้ทันอารมณ์ทุกขณะก็ยิ่งดีมาก เพราะฉะนั้นสตินี้ทำให้มากเข้าไว้ จะรู้เท่าทันเหตุการณ์ได้ ไม่เหมือนอย่างอื่น
๒.๓ ต้องสมาคมกับผู้ที่เจริญวิปัสสนา เข้าใจสภาวะของรูปนาม เป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ต่อกัน
๒.๔ ต้องมีสติรู้ทันอารมณ์ทุกอิริยาบถ เพราะปัญญาที่เข้าในโพชฌงค์นี้ ต้องพิจารณาเข้ากับความเกิดดับของรูปนาม สภาวะลักษณะของรูปนาม มิฉะนั้นก็เข้าถึงโพชฌงค์นี้ไม่ได้แน่นอน
๓.วิริยะสัมโพชฌงค์ ได้แก่ ความเพียรพยายามในกิจของสัมมัปปธาน ๔ นั่นเอง แต่การที่วิริยะจะขยับเลื่อนขึ้นมาเป็นโพชฌงค์ จะต้องอาศัยเป็นเหตุปัจจัยซึ่งกันและกัน ขอให้เข้าใจว่า วิริยะจะเป็นองค์ของโพชฌงค์ได้ก็ต้องสมบูรณ์ด้วยเช่นกัน ต้องรู้และมั่นใจในอานิสงส์ของความเพียรว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรารถนา ต้องอาศัยความเพียรพยายามไม่ท้อถอย ต้องอดทน ถ้าไม่มีความเพียรแล้วความสำเร็จจะมีไม่ได้เลย คบหาสมาคมกับคนที่ขยันหมั่นเพียร หลีกเลี่ยงบุคคลที่เหลาะแหละเกียจคร้าน มั่นใจในสติปัฏฐานสี่นี้เท่านั้น เป็นทางที่พระอริยเจ้าทั้งหลายล้วนปฏิบัติมาแล้วทั้งสิ้น ท่านจึงผ่านเข้าถึงความเป็นอริยบุคคลด้วย
๔.ปีติสัมโพชฌงค์ ปีติและความอิ่มเอิบใจนี้ มีได้ทั้งสมถะและวิปัสสนา ถ้าปีติในสมถะก็ได้แก่ปีติที่เป็นองค์ฌาน ส่วนปีติในวิปัสสนาก็คือ ความอิ่มใจในการเจริญวิปัสสนา ผู้ที่เจริญสติปัฏฐาน เมื่อมีสติรู้ทันอารมณ์ มีปัญญาเข้าใจสภาวะ เห็นสภาพไตรลักษณ์ของรูปนาม รู้สึกตัวมีความเพียรอย่างจริงจัง ไม่ย่อท้อย่อมเกิดปีติชื่นชมเป็นธรรมดา ปีติในวิปัสสนาย่อมทำลายความเฉื่อยชา เบื่อหน่ายได้ การระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ การระลึกถึงคุณของการบริจาค ตลอดจนคุณของพระนิพพาน ก็เป็นเหตุให้ปีติเกิดได้ การละเว้นที่จะคบหาผู้ที่ปราศจากศรัทธาหมั่นเจริญสติปัฏฐาน หากได้ปฏิบัติบริบูรณ์ด้วยคุณธรรมที่กล่าวมานี้แล้ว ปีติสัมโพชฌงค์ย่อมเกิดได้
๕.ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ มีลักษณะทำให้จิตใจสงบเยือกเย็นรู้สึกสบายใจ ความสงบประณีตของปัสสัทธินี้ อาจถึงทำให้เข้าใจผิด สำคัญว่าความสงบสบายนั้น คือเข้าถึงพระนิพพานขึ้น แล้ว กลายเป็นวิปัสนูปกิเลส คือ กิเลสของพระนิพพานไปปัสสัทธิที่เกิดไม่ใช่ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ แม้จะเกิดในวิปัสสนาก็ตาม ปัสสัทธิที่จะเป็นองค์ของโพชฌงค์ ต้องเป็นไปตามอารมณ์ที่ประกอบด้วยไตรลักษณ์ฉะนั้น ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ จะเกิดได้ ต้องบริบูรณ์ด้วยเหตุดังต่อไปนี้
๕.๑ บริโภคอาหารให้สมควรทั้งปริมาณและคุณภาพ
๕.๒ อยู่ในที่ที่มีอากาศพอเหมาะพอสบาย
๕.๓ ใช้อิริยาบถที่สะดวกสบาย ไม่ต้องฝืนจนเกินไป
๕.๔ พิจารณาเชื่อว่ากรรมดี นั่นแหละเป็นที่พึ่งของตน
๕.๕ เว้นการสมาคมกับบุคคลทุศีล
๕.๖ สมาคมกับผู้มีศีล มีกาย วาจาสงบไม่เพ้อเจ้อ
๕.๗ ต้องมีสติสัมปชัญญะอยู่ทุกอารมณ์จิต ทุกอิริยาบถผู้ที่สมบูรณ์ด้วยธรรม ๗ ประการนี้ จะทำให้ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์เกิดขึ้น ความจริงแล้ว ปัสสัทธินี้ก็ไม่ได้มาจากไหน ได้มาจากปีตินั่นเอง กล่าวคือ เป็นปีติแล้ว ปัสสัทธิต้องมีด้วย เมื่อปีติยังมีกำลังกล้าอยู่ แสดงว่ายังอิ่มเอิบตื่นเต้นอยู่มาก จึงยังไม่เห็นอาการของปัสสัทธิ เมื่อปีติสงบลงบ้างแล้ว ปัสสัทธิจะปรากฏอาการ ความสงบสบายจะปรากฏชัดขึ้น เป็นเหตุเป็นปัจจัยของกันและกันดังนี้
๖.สมาธิสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์นี้มีทั้งสมถะและวิปัสสนาเหมือนกัน เพราะผู้ที่ได้ฌานแล้ว จะยกองค์ฌานขึ้นพิจารณาวิปัสสนาได้ สมาธินั้นก็จะเป็นอารมณ์ของวิปัสสนา สมาธิในฌานนั้นเป็นอัปปนาสมาธิ เหตุที่จะเกิดสมาธิสัมโพชฌงค์ จะต้องบริบูรณ์ด้วยเหตุดังนี้
๖.๑ ต้องรักษาความสะอาดในปัจจัยสี่ มีอาหารเป็นต้น
๖.๒ ต้องเจริญศรัทธากับปัญญา วิริยะกับสมาธิให้เสมอกัน อย่าให้มากน้อยกว่ากัน
๖.๓ ต้องเข้าใจรักษานิมิตของสมถกรรมฐาน และอารมณ์ของวิปัสสนากรรมฐาน กำหนดเสีย ต้องเข้าใจยกจิตให้แก่กล้าขึ้น
๖.๔ ถ้าวิริยะอ่อนก็ต้องมีปัญญา ต้องมนสิการ ให้วิริยะแก่กล้าขึ้นเสมอกับสมาธิ (ปีติจะต้องช่วยวิริยะให้มีกำลังขึ้น)
๖.๕ ถ้ามีวิริยะอ่อนลง สมาธิอ่อนลง ความฟุ้งซ่านจะมีมากขึ้น ในบุคคลนั้น อันความฟุ้งซ่านเป็นกิเลสเป็นเหตุให้เกิดนิวรณ์ ต้องปรับจิตให้อยู่ในปัจจุบันอารมณ์ ถ้าไม่ปรับจิตให้อยู่ในปัจจุบัน อารมณ์มีนิวรณ์ ขณะใดที่ได้อารมณ์ปัจจุบัน ความฟุ้งซ่านหรือนิวรณ์จะเกิดไม่ได้เลย เหตุที่เกิดความฟุ้งซ่านก็เพราะ สติรับปัจจุบันอ่อนหรือน้อยไป จะต้องพยายามให้จิตอยู่ในปัจจุบันอารมณ์เสมอ ความฟุ้งซ่านก็จะหมดลงไปเอง โดยดับไป จะใช้วิธีบังคับอื่นใดไม่ได้เลย เพราะทุกอย่างย่อมเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่ใช่ที่อยากหรือต้องการให้เป็นไป
๖.๖ ทำใจให้ยินดีในความไม่ประมาท มีสติอยู่ตลอดเวลา คือ ตัวกำหนดทุกอย่าง อย่าขาดกำหนด ต้องเจริญพระกรรมฐานให้ถูกกับจริต ต้องปราศจากปลิโพธกังวล อันเป็นความกังวลในใจเสีย เว้นจากการคบหาสมาคมกับบุคคลช่างพูด ช่างเจรจา ต้องเว้นไป อย่าไปคบหาบุคคลที่ช่างพูด ช่างเจรจา ชอบคุย ออกสมาคมกับผู้ที่รักษาความสงบระงับ สำหรับผู้ที่เจริญฌานก่อนจะยกองค์ฌานขึ้นสู่อารมณ์วิปัสสนา จะต้องมีวสีชำนาญในองค์ฌานมาก่อน จึงจะยกอารมณ์เข้าสู่วิปัสสนาได้ ไม่ใช่ว่าพอได้ฌานแล้วก็ยกขึ้นสู่อารมณ์วิปัสสนาได้เลย ต้องมีสติสัมปชัญญะ ต้องรู้สึกทันทุกอารมณ์ทันปัจจุบันทุกอิริยาบถด้วย เมื่อบริบูรณ์ด้วยอุปการธรรมอย่างนี้แล้ว สมาธิสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิดก็จะเกิด
๗.อุเบกขาสัมโพชฌงค์ มีลักษณะวางใจให้เป็นกลาง เชื่อมั่นต่อกรรม เชื่อว่าทุกอย่างย่อมเป็นไปตามผลของกรรม ที่ว่าวางใจให้เป็นกลางนั้น คือ ไม่ยินดีต่อความสุข ไม่เดือดร้อนต่อความทุกข์ที่มีต่อตน เพราะเชื่อว่าสัตว์ทั้งหลายย่อมเป็นไปตามอำนาจของกรรม ไม่มีผู้จะแก้ไขกรรมที่ทำมาแล้วได้ ทำใจไม่ยินดี ยินร้ายในอารมณ์ที่ตนประสบ ในเวลาที่ตนเจริญพระกรรมฐาน ธรรมที่ช่วยอุปการะอุเบกขาสัมโพชฌงค์มีดังต่อไปนี้
๗.๑ ต้องพิจารณาให้รู้และเข้าใจว่า สภาวะที่เป็นอยู่นี้ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เป็นแต่เพียงรูปนามเท่านั้น
๗.๒ ตั้งจิตใจเป็นกลางในสังขารว่า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่เป็นอนิจจัง เป็นทุกขัง เป็นอนัตตา ไม่เสียใจเมื่อจะต้องมีการสูญเสีย
๗.๓ เว้นจากการคบหาสมาคมกับบุคคลที่ยังยึดมั่นเหนียวแน่นในสมมุติ ในสัตว์บุคคล ว่าเป็นของเรา ของเขา
๗.๔ สมาคมคบหากับบุคคลที่เข้าใจสังขาร รู้จักสภาวธรรม
๗.๕ มีสติสัมปชัญญะทุกอารมณ์ น้อมใจให้มั่นคง วางใจให้เป็นกลาง ๆ
อุเบกขาสัมโพชฌงค์นี้ จัดว่าเป็นองค์สำคัญองค์หนึ่งของโพชฌงค์ คล้ายกับว่าปล่อยวางได้แล้ว ปัญญาพอที่จะตรัสรู้ในอริยสัจได้ความสำคัญของโพชฌงค์เจาะจงที่ วิปัสสนาไม่ใช่สมาธิ ที่เอาสมถะมาสงเคราะห์ไว้กับโพชฌงค์ด้วยก็มุ่งหมายถึงผู้ที่เจริญสมถกรรมฐานปรารถนาจะยกองค์ฌานขึ้นสู่อารมณ์วิปัสสนาเพราะฉะนั้นสมถะที่กล่าวว่าเป็นองค์โพชฌงค์ได้หมายเอาสมถะที่สงเคราะหเป็นอารมณ์ของวิปัสสนาได้ ทั้งนี้เพราะการที่จะเป็นโพชฌงค์ ต้องมาจากการเจริญสติปัฏฐาน ๔ เท่านั้น เพราะโพชฌงค์ในโพธิปักขิยธรรม ก็คือธรรมในธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หากแต่กำลังและการงานของสภาวธรรมนั้น มีกำลังแก่กล้าขึ้นตามลำดับของภูมิธรรม บางท่านอาจคิดว่าตนเองปฏิบัติ เจริญสติปัฏฐานมานานแล้ว และได้อารมณ์ดีด้วย เหตุใดจึงยังไม่บรรลุมรรคผล ขอให้เข้าใจเถิดว่า เพราะองค์ธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งเช่น สติ ปัญญา วิริยะ ศรัทธา สมาธิ เป็นต้น ยังไม่บรรลุถึงความเป็นโพชฌงค์ อันเป็นองค์ที่ตรัสรู้ ฉะนั้นจะต้องสำรวจอารมณ์ของตนว่า อันใดยังบกพร่องจะต้องพยายามทำให้สมบูรณ์ขึ้น จำเป็นจะต้องรู้ถึงอย่างนี้ เพราะฉะนั้นจงอย่าท้อถอย ให้เข้าใจเถิดว่า การที่จะบรรลุมรรคผล รู้แจ้งในอริยสัจ ๔ นั้น มิใช่ของที่จะทำได้ง่ายเลย จะต้องเข้าใจเหตุและผลอย่างละเอียดรอบคอบ มีทางเดียวคือเจริญสติปัฏฐาน ๔
กองที่ ๗ มรรคมีองค์ ๘ มรรคที่จัดไว้ในหมวดโพธิปักขิยธรรมนี้กล่าวเฉพาะมรรคที่เป็นทางชอบแต่อย่างเดียว จึงมีเพียง ๘ มรรค เรียกว่า อัฏฐังคิกมรรค มรรคมีองค์ ๘ ได้แก่
๑.สัมมาทิฏฐิ มีความเห็นชอบด้วยการเห็นว่า ร่างกายหรือสังขารที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมานี้ ไม่มีสาระแก่นสาร เป็นเพียงธรรมชาติรูปกับนามเท่านั้น รูปกับนามนี้ยังเป็นสภาพอนิจจัง คือไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ทุกขัง เพราะความเปลี่ยนแปลงไม่คงที่ จึงทำให้เป็นทุกขังและยังเป็นอนัตตา คือไม่มีตัวตนที่บังคับบัญชาได้ จะมีสภาพเป็นไปตามเหตุปัจจัย หมดเหตุปัจจัยก็หมดไปเองด้วย ไม่เป็นไปตามความต้องการของผู้ใดทั้งสิ้น
๒.สัมมาสังกัปปะ คือ การคิดดำริแต่สิ่งที่ชอบไม่ออกนอกลู่นอกทาง จะกล่าวว่าเป็นความดำริที่สนับสนุนความเห็นชอบ คือสัมมาทิฏฐิก็ได้ เพราะความดำรินั้น คือ คิดแต่ทางที่จะให้พ้นจากวัฏฏทุกข์เท่า
๓.สัมมาวาจา คือ พูดจาแต่ในสิ่งที่ชอบ หมายถึงการสำรวมระวังในการพูด ไม่ให้ผิดได้แก่ ไม่พูดเท็จ ไม่พูดจาหยาบคายไม่พูดส่อเสียด และไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล ขอให้สังเกตด้วยว่า การปฏิบัติตามมรรค ๘ นี้ต้องรักษาศีลมากกว่าผู้ที่สมาทานศีลธรรมดา เพราะต้องเว้นจากการกระทำที่เกี่ยวกับทางกายวาจาแม้แต่การเลี้ยงชีพที่ไม่ดี ไม่ถูกต้องทุกอย่าง เช่นการพูดเท็จ จะต้องไม่มีการหยอกล้อ หรือหลอกลวงผู้อื่นด้วยวาจา เว้นจากการพูดหยาบทุกชนิด แม้ว่าจะเป็นการด่าประชด กระทบกระแทกเปรียบเปรยก็ตาม ไม่พูดส่อเสียด อย่าพูดใส่ร้าย หรือยุยงให้แตกแยกกัน และเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ คือพูดพล่อย ๆ ไม่เป็นสาระ แม้จะเป็นการพูดสนุก ขบขัน ก็ควรเว้น รวมทั้งการพูดทำนองโอ้อวดคุณวิเศษของตนเองด้วย
๔.สัมมากัมมันตะ การทำงานนี้หมายถึงงานทั่วไปที่จะพึงกระทำ ต้องกระทำด้วยการมีสติรู้ตัวอยู่เสมอ เว้นจากทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน แม้ว่าการกระทำนั้นจะเป็นเพียงเพื่อความสนุกสนานชั่วครั้งชั่วคราวก็ตาม มรรคมีองค์ ๘ นี้ ต้องละเว้น
๕.สัมมาอาชีวะ ท่านกำหนดไว้ว่า เลิกจากการหาเลี้ยงชีพในทางที่ผิด ที่เป็นมิจฉาชีพ อาชีพที่ทำให้เดือดร้อนผู้อื่น ตัวอย่างเช่น ฆ่าสัตว์ขาย ทำของปลอมปน เป็นต้น ถ้าเป็นบรรพชิตก็เว้นจากการตั้งตนเป็นอาจารย์ผู้วิเศษ ใบ้หวย และกิจกรรมอื่นนอกรีดนอกรอยของบรรพชิตที่ไม่ควรทำ
๖.สัมมาวายมะ คือ มีความเพียรพยายามในทางที่จะให้พ้นทุกข์ หรือตามหลักของสัมมัปปธาน ๔
๗.สัมมาสติ การระลึกชอบ ตรงกับสติปัฏฐาน ๔ นั่นเอง ที่ว่าระลึกในที่นี้ คือ การพิจารณาเนื่อง ๆ ใน ๔ อย่างต่อไปนี้
๗.๑ พิจารณาเห็นกายในกาย
๗.๒ พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา
๗.๓ พิจารณาเห็นจิตในจิต
๗.๔ พิจารณาเห็นธรรมในธรรมจะไม่อธิบายซ้ำอีก เพราะได้อธิบายไว้แล้วในหมวดสติปัฏฐาน ๔
๘.สัมมาสมาธิ คือ การตั้งใจแน่วแน่ในการเจริญสติปัฏฐาน เพื่อบรรลุถึงมรรคและนิพพาน บางท่านเจริญฌาน เมื่อได้ฌานแล้ว จึงยกเอาองค์ฌานขึ้นสู่อารมณ์ของวิปัสสนา จะเห็นได้ว่า มรรคมีองค์ ๘ นี้ มีพร้อมทั้ง ศีล สมาธิ ปัญญา การปฏิบัติต้องอาศัยการเกี่ยวเนื่องกันอย่างพรั่งพร้อม จึงจะสำเร็จกิจ จึงจะประหารกิเลสได้ในมรรคมีองค์ ๘ นี้ ท่านแสดงสัมมาทิฏฐิมรรค คือ คามเห็นที่ถูกต้อง อันได้แก่ปัญญาไว้ก่อน เพราะเป็นองค์ที่มีอุปการคุณอย่างดียิ่ง การที่จะสำเร็จมรรคผล เห็นแจ้งในอริยสัจ ๔ นั้น จะขาดปัญญาหรือแม้แต่กำลังของปัญญาอ่อนยิ่งหย่อนไปไม่ได้เลย ท่านอธิบายไว้ว่า เมื่อมีปัญญาชอบแล้วก็ย่อมจะคิดชอบ เมื่อคิดชอบแล้วก็จะพูดชอบ เจรจาชอบ มันเป็นการชอบไปหมด ดังนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นท่านสาธุชน โปรดได้รับทราบไว้ดังที่กล่าวนี้ เมื่อพูดชอบแล้วก็ย่อมทำชอบ เป็นผู้ทำการงานขอบก็ย่อมมีความเป็นอยู่เลี้ยงชีพชอบไปด้วย เมื่อมีอาชีพชอบ ที่มั่นคงก็ย่อมมีความเพียร ความพยายามที่จะดำรงชีพนั้น เมื่อมีความพากเพียรที่ชอบ ก็ย่อมมีการระลึกนึกแต่ในทางที่ชอบ ที่ถูกต้อง เมื่อมีสติระลึกชอบแล้ว ก็ย่อมมีความตั้งใจแต่ในสิ่งที่ชอบที่ควรกระทำ อันมรรคมีองค์ ๘ นี้ มีทั้งที่เป็นโลกียะ และโลกุตระ จะแตกต่างกันบ้างก็คือ ถ้าเป็นโลกียะ จะไม่พร้อมกันทั้ง ๘ มรรค แต่ถ้าเป็นโลกุตระ แล้วต้องพร้อมกันทั้งองค์ ๘ เป็นมัคคสมังคี ต้องประกอบพร้อมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เรียกว่า พร้อมทั้งศีล สมาธิ ปัญญา คือ ไตรสิกขา ๓ มรรคที่เป็นโลกียะ มีอารมณ์อย่างอื่นได้ แต่มรรคที่เป็นโลกุตระ จะต้องมีอารมณ์เป็นนิพพานอย่างเดียวเท่านั้น โดยเฉพาะศีลในโลกียะนั้น เพียงเว้นสิ่งอันพึงเว้นที่มาปรากฏเฉพาะหน้า แต่โลกุตระไม่ต้องมีวัตถุเว้น เพราะ วีรตีเจตสิก หรือศีลที่เป็นโลกุตระนั้น เป็นองค์มรรคมีหน้าที่ประหารกิเลส ไม่ใช่มีหน้าที่เพียงละเว้นการงานทุจริต เพราะหน้าที่หรือกิจการของมรรค ประหารกิเลสได้เป็นสมุทเฉท คือ เด็ดขาด แต่มรรคในโลกียะเพียงข่มไว้ได้ชั่วคราวเวลาเจริญฌาน เรียกว่า วิขัมภนประหาร หรือเพียง ตทังคประหาร ขอให้เข้าใจว่าสติปัฏฐาน ๔ และอัฏฐังคิกมรรคในโพธิปักขิยธรรม สติปัฏฐาน ๔ อันเป็นธรรมหมวดแรกนั้น ทำหน้าที่เพื่อให้แจ้งพระนิพพาน แต่มรรคมีองค์ ๘ อันเป็นหมวดสุดท้าย ก็เป็นไปเพื่อให้แจ้งพระนิพพาน ฉะนั้นการที่จะบรรลุมรรคผลนิพพาน ต้องดำเนินไปตามทางสายกลาง คือ มัชฌิมาปฏิปทา อันมีสติปัฏฐาน ๔ และมรรคมีองค์ ๘ เป็นจุดเริ่มต้น และจุดที่จะให้สำเร็จ แต่ในขณะที่บรรลุแจ้งพระนิพพานนั้น โพธิปักขิยธรรมต้องประกอบ หมายถึงทำหน้าที่พร้อมเพรียงกัน ขอกล่าวย้ำเกี่ยวกับการปฏิบัติวิปัสสนาธุระนี้ เป็นสิ่งสำคัญข้อหนึ่งของสัทธรรม ๓ เพราะนอกจากจะเรียนรู้ปริยัติสัทธรรมแล้ว ก็ต้องเจริญสัทธรรมข้อ ๒ อันได้แก่ ปฏิบัติสัทธรรม ถ้าปรารถนาจะให้หลุดพ้นจากวัฏฏทุกข์ ก็มีทางเดียว คือ เจริญวิปัสสนา มีสติปัฏฐานและมรรคที่องค์ ๘ เป็นทางเดิน จึงจะสามารถึงสัทธรรมข้อ ๓ คือ ปฏิเวชสัทธรรม อันนำมาซึ่งสันติสุขอันถาวร พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญการปฏิบัตินี้ว่า เป็นการบูชาอย่างเยี่ยมยอด แนวทางวิปัสสนานี้ ถือเอารูปธรรม นามธรรม เป็นกรรมฐาน เอารูปนามเป็นอารมณ์ เอารูปนามเป็นทางเดิน โดยมีสติเป็นผู้เพ่ง ปัญญาเป็นผู้รู้ เพื่อให้แจ้งแทงตลอดในสภาวธรรม ที่หลงยึดมั่นถือมั่นว่ามีสภาพความเป็นจริงอย่างไร และละโมหะที่ทำให้หลงงมงายออกเสียได้
พระพุทธเจ้าทรงตรัสเตือนผู้ปรารถนาจะบำเพ็ญวิปัสสนาธุระอย่างถูกต้อง และได้ผลสมความปรารถนา สรุปได้ดังนี้
๑. ต้องมีผู้แนะนำสั่งสอน คือ มีกัลยาณมิตร
๒.มีที่ปฏิบัติที่สงบสงัดเป็นสัปปายะ
๓.ต้องมีธรรมคือ ความตั้งใจจริง ความไม่ประมาท และปัญญา
๔.ไม่มีปลิโพธ คือ ความไม่กังวล ห่วงใยใด ๆ ทั้งสิ้น
ฉะนั้นผู้ที่จะปฏิบัติ ควรจะประกอบองค์คุณธรรม คือ มีความเลื่อมใส ศรัทธาจริง ไม่มีหนี้สินที่จะทำให้ห่วงกังวล ไม่มีโรคร้ายแรง โรคติดต่อ ไม่เป็นโรคจิต ไม่เป็นโรคประสาท พร้อมที่จะทำความเพียรได้ และควรเป็นบุคคลที่มีระเบียบ แบบแผนพร้อมที่จะปฏิบัติตามระเบียบกติกา ของสำนักวิปัสสนากรรมฐานทุกประการของความสุขสวัสดีจงมีแก่สาธุชนทุกท่านเทอญ
-----------------------------------------------------------------
โพธิปักขิยธรรมธรรมบรรยายของพระราชสุทธิญานมงคล(หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม) ๕ ธันวาคม ๒๕๓๒

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น