วันอังคารที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

คำถามและคำตอบแนวการปฏิบัติธรรม โดย พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท)
.
พระสุญฺโญฺภิกขุ พระภิกษุชาวอเมริกัน จดบันทึกเป็นภาษาอังกฤษเมื่อลาสิกขาแล้ว ท่านได้พิมพ์เผยแผ่เป็นธรรมทาน ต่อมามีผู้แปลเป็นภาษาไทยและหลวงพ่อชาให้พระวีรพล เตชปญฺโญ แห่งวัดหนองป่าพง สอบทานแล้วจึงได้พิมพ์ฉบับภาษาไทย

๑. ผมได้พากเพียรอย่างหนักในการปฏิบัติกรรมฐานแต่ยังไม่มีทีท่าว่าจะได้ผลคืบหน้าเลย

เรื่องนี้สำคัญมาก อย่าพยายามที่จะเอาอะไรๆ ในการปฏิบัติ ความอยากอย่างแรงกล้าที่จะหลุดพ้นหรือรู้แจ้งนั้น จะเป็นความอยากที่ขวางกั้นท่านจากการหลุดพ้น ท่านจะเพียรพยายามอย่างหนักตามใจท่านก็ได้ จะเร่งความเพียรทั้งกลางคืนกลางวันก็ได้ แต่ถ้าการฝึกปฏิบัตินั้นยังประกอบด้วยความอยากที่จะบรรลุเห็นแจ้งแล้ว ท่าน จะไม่มีทางที่จะพบความสงบได้เลย แรงอยากจะเป็นเหตุให้เกิดความสงสัยและความกระวนกระวายใจ ไม่ว่าท่านจะฝึกปฏิบัติมานานเท่าใดหรือหนักเพียงใด ปัญญา (ที่แท้) จะไม่เกิดขึ้นจากความอยากนั้น ดังนั้นจงเพียรแต่ละความอยากเสีย จงเฝ้าดูจิตและกายอย่างมีสติ แต่อย่ามุ่งหวังที่จะบรรลุถึงอะไร อย่ายึดมั่นถือมั่นแม้ในเรื่องการฝึกปฏิบัติหรือในการรู้แจ้ง

๒. เรื่องการหลับนอน ควรจะนอนมากน้อยเพียงใด

อย่าถามผมเลย ผมตอบให้ไม่ได้ บางคนหลับนอนคืนละประมาณ ๔ ชั่วโมงก็พอ อย่างไรก็ตามสิ่งที่สำคัญก็คือ ท่านเฝ้าดูและรู้จักตัวของท่านเอง ถ้าท่านนอนน้อยจนเกินไป ท่านก็จะไม่สบายกาย ทำให้คุมสติไว้ได้ยาก ถ้านอนมากเกินไป จิตใจก็จะตื้อเฉื่อยชาหรือซัดส่าย จงหาสภาวะที่เหมาะกับตัวท่านเอง ตั้งใจเฝ้าดูกายและจิต จนท่านรู้ระยะเวลาหลับนอนที่พอเหมาะสำหรับท่าน ถ้าท่านรู้สึกตัวตื่นแล้ว และยังซุกของีบต่อไปอีก นี่เป็นกิเลสเครื่องเศร้าหมอง จงมีสติรู้ตัวทันทีที่ลืมตาตื่นขึ้น

๓. เรื่องการขบฉัน ควรจะฉันอาหาร มากน้อยเพียงใด

การขบฉันก็เหมือนกับการหลับนอน ต้องรู้จักตัวของท่านเอง อาหารต้องบริโภคให้เพียงพอตามความต้องการของร่างกาย จงมองอาหารเหมือนยารักษาโรค ฉันมากไปจนง่วงนอนหลังฉันอาหารหรือเปล่า อ้วนขึ้นทุกวันหรือเปล่า จงหยุดแล้วสำรวจกายและจิตของท่าน ไม่จำเป็นต้องอดอาหาร จงทดลองฉันอาหารตามปริมาณมากน้อยต่างๆ หาปริมาณที่พอเหมาะกับร่างกาย ใส่อาหารที่จะฉันทั้งหมดลงในบาตรตามแบบธุดงควัตร แล้วท่านจะกะปริมาณอาหารที่จะฉันได้ง่าย เฝ้าดูตัวท่านเองอย่างถี่ถ้วนขณะที่ฉัน จงรู้จักตัวเอง สาระสำคัญของการฝึกปฏิบัติของเราเป็นอย่างนี้ ไม่มีอะไรพิเศษที่ต้องทำไปมากกว่านี้ จงเฝ้าดูเท่านั้น สำรวจตัวท่านเอง เฝ้าดูจิต แล้วท่านจึงจะรู้ว่า อะไรคือสภาวะที่พอเหมาะสำหรับการฝึกปฏิบัติของท่าน

๔. จิตของชาวเอเชียและชาวตะวันตกแตกต่างกันหรือไม่

โดยพื้นฐานแล้วไม่แตกต่างกัน ดูจากภายนอกขนบธรรมเนียมประเพณีและภาษาที่ใช้อาจดูต่างกัน แต่จิตของมนุษย์นั้นเป็นธรรมชาติซึ่งเหมือนกันหมด ไม่ว่าชาติใด ภาษาใด ความโลภและความเกลียดก็มีเหมือนกัน ทั้งในจิตของชาวตะวันออกหรือชาวตะวันตก ความทุกข์และความดับแห่งทุกข์ก็เหมือนกันในทุกๆคน

๕. เราควรอ่านตำรับตำรามากๆ หรือศึกษาพระไตรปิฎกด้วยหรือไม่ ในการฝึกปฏิบัติ

พระธรรมของพระพุทธเจ้านั้น ไม่อาจค้นพบได้ด้วยตำราต่างๆถ้าท่านต้องการจะรู้เห็นจริงด้วยตัวของท่านเองว่า พระพุทธเจ้าตรัสสอนอะไร ท่านไม่จำเป็นต้องวุ่นวายกับตำรับตำราเลย จงเฝ้าดูจิตของท่านเอง พิจารณาให้รู้เห็นว่า ความรู้สึกต่างๆ เวทนานั้น เกิดขึ้นและดับไปอย่างไร ความนึกคิดเกิดขึ้นและดับไปอย่างไร อย่าได้ผูกพันอยู่กับสิ่งใดเลย จงมีสติอยู่เสมอ เมื่อไม่มีอะไรหรือมีอะไรเกิดขึ้น จะได้รู้ได้เห็น นี่คือทางที่จะบรรลุถึงสัจธรรมของพระพุทธองค์ จงเป็นปกติธรรมดาตามธรรมชาติ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านทำขณะอยู่ที่นี่เป็นโอกาสแห่งการฝึกปฏิบัติ เป็นธรรมะทั้งหมด เมื่อท่านทำวัตรสวดมนต์อยู่ พยายามให้มีสติ ถ้าท่านกำลังเทกระโถนหรือล้างส้วมอยู่ อย่าคิดว่าท่านกำลังทำบุญทำคุณให้กับผู้หนึ่งผู้ใด มีธรรมะอยู่ในการเทกระโถนนั้น อย่ารู้สึกว่าท่านกำลังฝึกปฏิบัติอยู่เฉพาะเวลานั่งขัดสมาธิเท่านั้น พวกท่านบางคนบ่นว่าไม่มีเวลาพอที่จะทำสมาธิภาวนา แล้วเวลาหายใจเล่ามีเพียงพอไหม? การทำสมาธิภาวนาของท่าน คือการมีสติระลึกรู้ และการรักษาจิตให้เป็นปกติตามธรรมชาติในการกระทำทุกอิริยาบถ

๖. ทำไมพวกเราจึงไม่มีการสอบอารมณ์กับอาจารย์ทุกวัน

ถ้าท่านมีคำถาม เชิญมาถามได้ทุกเวลา แต่ที่นี่เราไม่จำเป็นจะต้องมีการสอบอารมณ์กันทุกวัน ถ้าตอบปัญหาเล็กๆน้อยๆทุกปัญหาของท่าน ท่านก็จะไม่มีทางรู้เท่าทันถึงการเกิดดับของความสงสัยในใจท่าน เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ท่านต้องเรียนรู้ที่จะสำรวจตัวท่านเอง สอบถามตัวท่านเอง จงตั้งใจฟังพระธรรมเทศนาทุกๆครั้งแล้วจงนำเอาคำสอนนี้ไปเปรียบเทียบกับการฝึกปฏิบัติของท่านเองว่าเหมือนกันหรือไม่ ต่างกันหรือไม่ ทำไมท่านจึงมีความสงสัยอยู่ ใครคือผู้ที่สงสัยนั้น โดยการสำรวจตัวเองเท่านั้น จะทำให้ท่านเข้าใจได้

๗. บางครั้งกังวลใจอยู่กับพระวินัยของพระสงฆ์ ถ้าหากฆ่าแมลง โดยบังเอิญแล้ว จะผิดไหม

ศีลหรือพระวินัยและศีลธรรม เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อการฝึกปฏิบัติของเรา แต่ท่านต้องไม่ยึดมั่นถือมั่นในกฎเกณฑ์ต่างๆอย่างงมงาย ในการฆ่าสัตว์ หรือการละเมิดข้อห้ามอื่นๆนั้น มันสำคัญที่เจตนา ท่านย่อมรู้อยู่แก่ใจของท่านเอง อย่าได้กังวลกับเรื่องพระวินัยให้มากจนเกินไป ถ้านำมาปฏิบัติอย่างถูกต้อง ก็จะช่วยส่งเสริมการฝึกปฏิบัติ แต่พระภิกษุบางรูปกังวลกับกฎเกณฑ์เล็กๆน้อยๆมากเกินไปจนนอนไม่เป็นสุข พระวินัยไม่ใช่ภาระที่ต้องแบก ในการปฏิบัติของเราที่นี่มีรากฐานคือพระวินัย พระวินัยรวมทั้งธุดงควัตรและการปฏิบัติภาวนา การมีสติและการสำรวมระวังในกฎระเบียบต่างๆ ตลอดจนในศีล ๒๒๗ ข้อนั้น ให้คุณประโยชน์อันใหญ่หลวง ทำให้มีความเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย ไม่ต้องพะวงว่าจะต้องทำตนอย่างไร ดังนั้นท่านก็หมดเรื่องต้องครุ่นคิด และมีสติดำรงอยู่แทน พระวินัยทำให้พวกเราอยู่ด้วยกันอย่างกลมกลืน และชุมชนก็ดำเนินไปอย่างราบรื่น ลักษณะภายนอกทุกๆคนดูเหมือนกัน และปฏิบัติอย่างเดียวกัน พระวินัยและศีลธรรม เป็นบันไดอันแข็งแกร่ง นำไปสู่สมาธิยิ่งและปัญญายิ่ง โดยการปฏิบัติอย่างถูกต้องตามพระวินัยของพระสงฆ์และธุดงควัตร ทำให้เรามีความเป็นอยู่อย่างง่ายๆและต้องจำกัดจำนวนบริขารของเราด้วย ดังนั้น ที่นี่เราจึงมีการปฏิบัติที่ครบถ้วนตามแบบของพระพุทธเจ้า คือ การงดเว้นจาก ความชั่วและทำความดี มีความเป็นอยู่อย่างง่ายๆตามความจำเป็นขั้นพื้นฐาน ชำระจิตให้บริสุทธิ์ โดยการเฝ้าดูจิตและกายของเราในทุกๆอิริยาบถ เมื่อนั่งอยู่ ยืนอยู่ เดินอยู่ หรือนอนอยู่ จงรู้ตัวของท่านเอง

๘. จะทำอย่างไรเมื่อผมสงสัย บางวันวุ่นวายใจด้วยความสงสัยในเรื่องการปฏิบัติ หรือในความคืบหน้าหรือในอาจารย์

ความสงสัยนั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดา ทุกคนเริ่มต้นด้วยความสงสัย ท่านอาจได้เรียนรู้อย่างมากมายจากความสงสัยนั้น ที่สำคัญก็คือ ท่านอย่าถือเอาความสงสัยนั้นเป็นตัวเป็นตน นั่นคืออย่าตกเป็นเหยื่อของความสงสัย ซึ่งจะทำให้จิตใจของท่านหมุนวนเป็นวัฏฏะอันไม่มีที่สิ้นสุด แทนที่จะเป็นเช่นนั้น จงเฝ้าดูกระบวนการเกิดดับของความสงสัย ของความฉงนสนเท่ห์ ดูว่าใครคือผู้ที่สงสัย ดูว่าความสงสัยนั้นเกิดขึ้นและดับไปอย่างไร แล้วท่านจะไม่ตกเป็นเหยื่อของความสงสัยอีกต่อไป ท่านจะหลุดพ้นออกจากความสงสัย และจิตของท่านก็จะสงบ ท่านจะเห็นว่าสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นและดับไปอย่างไร จงปล่อยวางสิ่งต่างๆที่ท่านยังยึดมั่นอยู่ ปล่อยวางความสงสัยของท่าน และเพียงแต่เฝ้าดู นี่คือที่สิ้นสุดของความสงสัย

๙. ท่านอาจารย์มีความเห็นเกี่ยวแก่วิธีฝึกปฏิบัติ วิธีภาวนา วิธีอื่นๆอย่างไร ทุกวันนี้ดูเหมือนว่าจะมีอาจารย์มากมาย และมีแนวทางการทำสมาธิวิปัสสนาหลายแบบ จนทำให้สับสน

มันก็เหมือนกับการจะเข้าไปในเมือง บางคนอาจจะเข้าเมืองทางทิศเหนือ ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ทางถนนหลายสาย โดยมากแล้วแนวทางภาวนาก็แตกต่างกันเพียงรูปแบบเท่านั้น ไม่ว่าท่านจะเดินทางสายหนึ่งสายใด เดินช้าหรือเดินเร็ว ถ้าท่านมีสติอยู่เสมอ มันก็เหมือนกันทั้งนั้น ข้อสำคัญที่สุดก็คือแนวทางภาวนาที่ดีและถูกต้อง จะต้องนำไปสู่การไม่ยึดมั่นถือมั่น ลงท้ายแล้ว ก็ต้องปล่อยวางแนวทางภาวนาทุกรูปแบบด้วย ผู้ปฏิบัติต้องไม่ยึดมั่นแม้ในตัวอาจารย์แนวทางใดที่นำไปสู่การปล่อยวาง สู่การไม่ยึดมั่นถือมั่น ก็เป็นทางปฏิบัติที่ถูกต้อง ท่านอาจจะอยากเดินทางไปศึกษาอาจารย์ท่านอื่น และลองปฏิบัติตามแนวทางอื่นบ้างก็ได้ พวกท่านบางคนก็ทำเช่นนั้น นี่เป็นความต้องการตามธรรมชาติ ท่านจะรู้ว่าแม้ได้ถามคำถามนับพันคำถามก็แล้ว และมีความรู้เรื่องแนวทางปฏิบัติอื่นๆก็แล้ว ก็ไม่อาจจะนำท่านเข้าถึงสัจธรรมได้ ในที่สุดท่านก็ จะรู้สึกเบื่อหน่าย ท่านจะรู้ว่าเพียงแต่หยุด และสำรวจตรวจสอบดูจิตของท่านเองเท่านั้น ท่านก็จะรู้ว่าพระพุทธเจ้าตรัสสอนอะไร ไม่มีประโยชน์ที่จะแสวงหาออกไปนอกตัวเอง ผลที่สุดท่านต้องหันกลับมาเผชิญหน้ากับสภาวะที่แท้จริงของตัวท่านเอง ตรงนี้แหละที่ท่านจะเข้าใจธรรมะได้

๑๐. มีหลายครั้งหลายหนที่ดูเหมือนว่าพระหลายรูปที่นี่ไม่ฝึกปฏิบัติ ดูท่านไม่ใส่ใจทำหรือขาดสติ เรื่องนี้กวนใจมาก

มันไม่ถูกต้องที่จะคอยจับตาดูผู้อื่น นี่ไม่ช่วยการฝึกปฏิบัติของท่านเลย ถ้าท่านรำคาญใจก็จงเฝ้าดูความรำคาญในใจของท่าน ถ้าศีลของผู้อื่นบกพร่อง หรือเขาเหล่านั้นไม่ใช่พระที่ดี ก็ไม่ใช่เรื่องของท่านที่จะไปตัดสิน ท่านจะไม่เกิดปัญญาจากการจับตาดูผู้อื่น พระวินัยเป็นเครื่องช่วยในการทำสมาธิภาวนาของท่าน ไม่ใช่อาวุธสำหรับใช้ติเตียนหรือจับผิดผู้อื่น ไม่มีใครสามารถฝึกปฏิบัติให้ท่านได้ หรือท่านก็ไม่สามารถปฏิบัติให้ผู้อื่นได้ จงมีสติใส่ใจในการฝึกปฏิบัติของตัวท่านเอง และนี่คือแนวทางของการปฏิบัติ

๑๑. ระมัดระวังอย่างยิ่งที่จะสำรวมอินทรีย์ ทอดสายตาลงต่ำเสมอ และกำหนดสติอยู่กับการกระทำทุกอย่าง แม้ในเรื่องเล็กๆน้อยๆ เช่นขณะที่กำลังฉันอาหารอยู่ ใช้เวลานาน และพยายามรู้สัมผัสทุกอย่าง เป็นต้นว่า เคี้ยวรู้รส กลืนรู้รส กำหนดรู้ ด้วยความตั้งใจทุกขั้นตอน และระมัดระวัง แบบนี้ปฏิบัติถูกต้องหรือไม่

การสำรวมอินทรีย์นั้น เป็นการปฏิบัติถูกต้องแล้ว เราจะต้องมีสติในการฝึกเช่นนั้นตลอดทั้งวัน แต่อย่าควบคุมให้มากเกินไป เดิน ฉัน และปฏิบัติตนให้เป็นธรรมชาติ ให้มีสติระลึกรู้ตามธรรมชาติ ถึงสิ่งที่กำลังเป็นไปในตัวท่าน อย่าบีบบังคับการทำสมาธิภาวนาของท่านและอย่าบีบบังคับตนเองไปจนดูน่าขัน ซึ่งก็เป็นตัณหาอีกอย่างหนึ่ง จงอดทน ความอดทนและความทนได้เป็นสิ่งจำเป็น ถ้าท่านปฏิบัติตนเป็นปกติตามธรรมชาติ และมีสติระลึกรู้อยู่เสมอ ปัญญาที่แท้จะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติด้วย

๑๒. จำเป็นไหมที่จะต้องนั่งภาวนาให้นานๆ

ไม่จำเป็นต้องนั่งภาวนานานนับเป็นหลายๆชั่วโมง บางคนคิดว่ายิ่งนั่งภาวนานานเท่าใด ก็จะยิ่งเกิดปัญญามากเท่านั้น เคยเห็นไก่กกอยู่ในรังของมันทั้งวัน นับเป็นวันๆ ปัญญาที่แท้เกิดจากการที่เรามีสติในทุกๆอิริยาบถ การฝึกปฏิบัติของท่านจะต้องเริ่มขึ้นทันทีที่ท่านตื่นนอนตอนเช้า และต้องปฏิบัติให้ต่อเนื่องไปจนกระทั่งนอนหลับไป อย่าไปห่วงว่าท่านจะต้องนั่งภาวนาให้นานๆ สิ่งสำคัญก็คือท่านเพียงแต่เฝ้าดู ไม่ว่าท่านจะเดินอยู่ หรือนั่งอยู่ หรือกำลังเข้าห้องน้ำอยู่ แต่ละคนต่างก็มีทางชีวิตของตนเอง บางคนต้องตาย เมื่อมีอายุ ๕๐ ปี บางคนเมื่ออายุ ๖๕ ปี และบางคนเมื่ออายุ ๙๐ ปี ฉันใดก็ฉันนั้น ปฏิปทาของท่านทั้งหลายก็ไม่เหมือนกัน อย่าคิดมากหรือกังวลใจในเรื่องนี้เลย จงพยายามมีสติ และปล่อยทุกสิ่งให้เป็นไปตามปกติของมัน แล้วจิตของท่านก็จะสงบมากขึ้นๆในสิ่งแวดล้อมทั้งปวง มันจะสงบนิ่งเหมือนหนองน้ำใสในป่า ที่ซึ่งบรรดาสัตว์ป่าที่สวยงามและหายากจะมาดื่มน้ำในสระนั้น ท่านจะเข้าใจถึงสภาวธรรมของสิ่งทั้งปวง เรื่องสังขารในโลกอย่างแจ่มชัด ท่านจะได้เห็นความมหัศจรรย์และแปลกประหลาดทั้งหลายเกิดขึ้นและดับไป แต่ท่านก็จะยังคงสงบอยู่เช่นเดิม ปัญหาทั้งหลายจะบังเกิดขึ้น แต่ท่านจะรู้ทันมันได้ทันที นี่แหละคือศานติสุขของพระพุทธเจ้า

๑๓. ยังคงมีความนึกคิดต่างๆ มากมาย จิตของฟุ้งซ่านมาก ทั้งๆที่พยายามจะมีสติอยู่

อย่าวิตกในเรื่องนี้เลย พยายามรักษาจิตของท่านให้อยู่กับปัจจุบัน เมื่อเกิดรู้สึกอะไรขึ้นมาภายในจิตก็ตาม จงเฝ้าดูมันและปล่อยวาง อย่าแม้แต่หวังที่จะไม่ให้มีความนึกคิดเกิดขึ้นเลย แล้วจิตก็จะเข้าถึงสภาวะปกติตามธรรมชาติของมัน ไม่มีการแบ่งแยกระหว่างความดีและความชั่ว ร้อนและหนาว เร็วหรือช้า ไม่มีเรา ไม่มีเขา ไม่มีตัวตนเลย อะไรๆก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้น เมื่อท่านเดินบิณฑบาต ไม่จำเป็นต้องทำอะไรเป็นพิเศษ เพียงแต่เดินและเห็นตามที่เป็นอยู่ อย่ายึดมั่นอยู่กับการแยกตัวไปอยู่แต่ลำพัง หรือกับการเก็บตัวไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ใด จงรู้จักตัวเองด้วยการปฏิบัติตนเป็นปกติตามธรรมชาติ และเฝ้าดู เมื่อเกิดสงสัยจงเฝ้าดูมันเกิดขึ้นและดับไป มันก็ง่ายๆ อย่ายึดมั่นถือมั่นกับสิ่งใดทั้งสิ้น เหมือนกับว่าท่านกำลังเดินไปตามถนน บางขณะท่านจะพบสิ่งกีดขวางทางอยู่ เมื่อท่านเกิดกิเลสเครื่องเศร้าหมอง จงรู้ทันมันและเอาชนะมันโดยปล่อยให้มันผ่านไปเสีย อย่าไปคำนึงถึงสิ่งกีดขวางที่ท่านได้ผ่านมาแล้ว อย่าวิตกกังวลกับสิ่งที่ยังไม่ได้พบ จงอยู่กับปัจจุบัน อย่าสนใจกับระยะทางของถนนหรือกับจุดหมายปลายทางทุกสิ่งทุกอย่างย่อมเปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าท่านผ่านอะไรไป อย่าไปยึดมั่นไว้ ในที่สุดจิตจะบรรลุถึงความสมดุลตามธรรมชาติของจิต และเมื่อนั้นการปฏิบัติก็จะเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ ทุกสิ่งทุกอย่างจะเกิดขึ้นและดับไปในตัวของมันเอง

๑๔. ท่านอาจารย์เคยพิจารณา "สูตรของเว่ยหล่าง" ของพระสังฆปริณายก นิกายเซ็น องค์ที่หก บ้างไหม

ท่านเว่ยหล่าง หรือท่านฮุยเหนิง นั่นเอง ท่านฮุยเหนิงมีปัญญาเฉียบแหลมมาก คำสอนของท่านลึกซึ้งยิ่งนัก ซึ่งไม่ใช่ของง่ายที่ผู้เริ่มต้นปฏิบัติจะเข้าใจได้ แต่ถ้าท่านปฏิบัติตามศีลและด้วยความอดทน และถ้าท่านฝึกที่จะไม่ยึดมั่นถือมั่น ท่านก็จะเข้าใจได้ในที่สุด ครั้งหนึ่ง ลูกศิษย์คนหนึ่งอาศัยอยู่ในกุฏิหลังคามุงแฝก ฤดูฝนนั้นฝนตกชุก และวันหนึ่งพายุก็พัดเอาหลังคาโหว่ไปครึ่งหนึ่ง เขาไม่ขวนขวายที่จะมุงมันใหม่ จึงปล่อยให้ฝนรั่วอยู่อย่างนั้น หลายวันผ่านไป ได้ถามถึงกุฏิของเขา เขาตอบว่ากำลังฝึกการไม่ยึดมั่นถือมั่น นี่เป็นการไม่ยึดมั่นถือมั่นโดยไม่ใช้หัวสมอง มันก็เกือบจะเหมือนกับความวางเฉยของควาย ถ้าท่านมีความเป็นอยู่ดี และเป็นอยู่ง่ายๆ ถ้าท่านอดทนและไม่เห็นแก่ตัว ท่านจึงจะเข้าใจซึ้งถึงปัญญาของท่านฮุยเหนิงได้

๑๕. ท่านอาจารย์เคยสอนว่า สมถะหรือสมาธิ และ วิปัสสนาหรือปัญญานี้ เป็นสิ่งเดียวกัน ขอท่านอาจารย์อธิบายเพิ่มเติมได้ไหม

นี่ก็เป็นเรื่องง่ายๆนี่เอง สมาธิ (สมถะ) และปัญญา (วิปัสสนา) นี้ต้องควบคู่กันไป เบื้องแรกจิตจะตั้งมั่นเป็นสมาธิอยู่ได้โดยอาศัยอารมณ์ภาวนา จิตจะสงบตั้งมั่นอยู่ได้เฉพาะขณะที่ท่านนั่งหลับตาเท่านั้น นี่คือสมถะ และอาศัยสมาธิเป็นพื้นฐานช่วยให้เกิดปัญญา หรือวิปัสสนาได้ในที่สุด แล้วจิตก็จะสงบ ไม่ว่าท่านจะนั่งหลับตาอยู่ หรือเดินอยู่ในเมืองที่วุ่นวาย เปรียบเหมือนกับว่าครั้งหนึ่งท่านเคยเป็นเด็ก บัดนี้ท่านเป็นผู้ใหญ่ แล้วเด็กกับผู้ใหญ่นี้เป็นบุคคลคนเดียวกันหรือเปล่า ท่านอาจจะพูดได้ว่าเป็นคนคนเดียวกัน หรือถ้ามองอีกแง่หนึ่งท่านก็อาจจะพูดได้ว่าเป็นคนละคนกัน ในทำนองเดียวกัน สมถะหรือวิปัสสนาก็อาจจะพูดได้ว่าเป็นคนละเรื่องกัน หรือเปรียบเหมือนอาหารกับอุจจาระ อาจจะเรียกได้ว่าเป็นสิ่งเดียวกัน และถ้ามองอีกแง่หนึ่ง ก็อาจจะเรียกได้ว่าเป็นคนละสิ่งกัน อย่าเพิ่งเชื่อสิ่งที่พูดมานี้ จงฝึกปฏิบัติต่อไปและเห็นจริงด้วยตัวของท่านเอง ไม่ต้องทำอะไรพิเศษไปกว่านี้ ถ้าท่านพิจารณาว่าสมาธิและปัญญาเกิดขึ้นได้อย่างไรแล้ว ท่านจะรู้ความจริงได้ด้วยตัวของท่านเอง ทุกวันนี้ผู้คนไปยึดมั่นอยู่กับชื่อเรียก ผู้ที่เรียกการปฏิบัติของพวกเขาว่า "วิปัสสนา" สมถะก็ถูกเหยียดหยาม หรือผู้ที่เรียกการปฏิบัติของพวกเขาว่า "สมถะ" ก็จะพูดว่า จำเป็นต้องฝึกสมถะก่อนวิปัสสนา เหล่านี้เป็นเรื่องไร้สาระ อย่าไปวุ่นวายคิดถึงมันเลย เพียงแต่ฝึกปฏิบัติไป แล้วท่านจะรู้ได้ด้วยตัวท่านเอง

๑๖. ในการปฏิบัติของเรา จำเป็นที่จะต้องเข้าถึงฌานหรือไม่

ไม่ ฌานไม่ใช่เรื่องจำเป็น ท่านต้องฝึกจิตให้มีความสงบ และมีอารมณ์เป็นหนึ่ง (เอกัคคตา) แล้วอาศัยอันนี้สำรวจตนเอง ไม่ต้องทำอะไรพิเศษไปกว่านี้ ถ้าท่านได้ฌานในขณะฝึกปฏิบัตินี้ก็ใช้ได้เหมือนกัน แต่อย่าไป หลงติดอยู่ในฌาน หลายคนชะงักติดอยู่ในฌานมันทำให้เพลิดเพลินได้มากเมื่อไปเล่นกับมัน ท่านต้องรู้ขอบเขตที่สมควร ถ้าท่านฉลาด ท่านก็จะเห็นประโยชน์และขอบเขตของฌานเช่นเดียวกับที่ท่านรู้ขั้นความสามารถของเด็ก และขั้นความสามารถของผู้ใหญ่

๑๗. ทำไมเราต้องปฏิบัติตามธุดงควัตร เช่นฉันอาหารเฉพาะแต่ในบาตรเท่านั้น

ธุดงควัตรทั้งหลาย ล้วนเป็นเครื่องช่วยให้ทำลายกิเลสเครื่องเศร้าหมอง การปฏิบัติตามข้อที่ว่าให้ฉันแต่อาหารในบาตร ทำให้เรามีสติมากขึ้น ระลึกว่าอาหารนั้นเป็นเสมือนยารักษาโรค ถ้าเราไม่มีกิเลสเครื่องเศร้าหมองแล้ว มันก็ไม่สำคัญว่าเราจะฉันอย่างไร แต่เราอาศัยธุดงควัตรทำให้การปฏิบัติของเราเป็นไปอย่างง่ายๆ พระพุทธองค์ไม่ได้ทรงบัญญัติธุดงควัตรไว้ว่าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับพระภิกษุทุกองค์ แต่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติธุดงควัตรสำหรับพระภิกษุผู้ประสงค์จะปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ธุดงควัตรเป็นส่วนที่เพิ่มขึ้นมาในศีล เพราะฉะนั้นช่วยเพิ่มความมั่นคงและความเข้มแข็งของจิตใจเรา ข้อวัตรทั้งหลายเหล่านี้มีไว้ให้ท่านปฏิบัติ อย่าคอยจับตาดูว่าผู้อื่นปฏิบัติอย่างไร จงเฝ้าดูจิตของตัวท่านเอง และดูว่าอะไรจะเป็นประโยชน์สำหรับท่าน กฎข้อที่ว่าเราต้องไปอยู่กุฏิ จะกุฏิใดก็ตามที่กำหนดไว้ให้เรา เป็นกฎที่เป็นประโยชน์เช่นเดียวกัน มันช่วยกันไม่ให้พระติดที่อยู่ถ้าผู้ใดจากไปแล้วและกลับมาใหม่ ก็จะต้องไปอยู่กุฏิใหม่ การปฏิบัติของพวกเราเป็นเช่นนี้ คือไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด

๑๘. ถ้าหากว่า การใส่อาหารทุกอย่างรวมลงในบาตรเป็นสิ่งจำเป็นแล้ว ทำไมท่านอาจารย์จึงไม่ปฏิบัติด้วยเช่นเดียวกัน ท่านคิดว่าไม่สำคัญหรือ ที่อาจารย์จะต้องทำเป็นตัวอย่างแก่ศิษย์

ถูกแล้ว อาจารย์ควรทำเป็นตัวอย่างแก่ลูกศิษย์ของตน ไม่ถือว่าท่านติ ท่านซักถามได้ทุกอย่างที่อยากทราบ แต่ว่ามันก็สำคัญที่ท่านต้องไม่ยึดอยู่กับอาจารย์ ถ้าดูจากภายนอก อาจารย์ปฏิบัติดีพร้อมหมดก็คงจะแย่มาก พวกท่านทุกคนก็จะพากันยึดติดในตัวอาจารย์ยิ่งขึ้น แม้พระพุทธเจ้าเอง บางครั้งก็ตรัสให้บรรดาสาวกปฏิบัติอย่างหนึ่ง และพระองค์เองกลับปฏิบัติอีกอย่างหนึ่ง ความไม่แน่ใจในอาจารย์ของท่านก็ช่วยท่านได้ ท่านควรเฝ้าดูปฏิกิริยาของตัวเอง ท่านไม่คิดบ้างหรือว่า อาจจะเป็นไปได้ว่าที่อาจารย์แบ่งอาหารจากบาตรใส่จานไว้เพื่อเลี้ยงดูชาวบ้านที่มาช่วยทำงานวัด ปัญญา คือสิ่งที่ท่านต้องเฝ้าดูและทำให้เจริญขึ้น รับเอาแต่สิ่งที่ดีจากอาจารย์ จงรู้เท่าทันการฝึกปฏิบัติของท่านเอง ถ้าอาจารย์พักผ่อนในขณะที่พวกท่านทุกองค์ต้องนั่งทำความเพียรแล้ว ท่านจะโกรธหรือไม่ ถ้าผมเรียกสีน้ำเงินว่าแดง หรือเรียกผู้ชายว่าผู้หญิงก็อย่าเรียกตามผมอย่างหลับหูหลับตา อาจารย์องค์หนึ่งของผมฉันอาหารเร็วมาก และฉันเสียงดัง แต่ท่านสอนให้พวกเราฉันช้าๆ และฉันอย่างมีสติ เคยเฝ้าดูท่านและรู้สึกขัดเคืองใจมาก เป็นทุกข์ แต่ท่านไม่ทุกข์เลย เพ่งเล็งแต่ลักษณะภายนอก ต่อมาจึงได้รู้ว่า บางคนขับรถเร็วมากแต่ระมัดระวัง บางคนขับช้าๆแต่มีอุบัติเหตุบ่อยๆ อย่ายึดมั่นถือมั่นในกฎระเบียบและรูปแบบภายนอก ถ้าท่านใช้เวลาอย่างมากเพียงสิบเปอร์เซ็นต์มองดูผู้อื่น แต่เฝ้าดูตัวเองเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ อย่างนี้เป็นการปฏิบัติที่ถูกต้องแล้ว แรกๆคอยเฝ้าสังเกตอาจารย์ ก็คือ อาจารย์ทองรัตและเกิดสงสัยในตัวท่านมาก บางคนถึงกับคิดว่าท่านบ้า ท่านมักจะทำอะไรแปลกๆ หรือเกรี้ยวกราดเอากับบรรดาลูกศิษย์ของท่าน อาการภายนอกของท่านโกรธ แต่ภายในใจท่านไม่มีอะไร ไม่มีตัวตน ท่านน่าเลื่อมใสมาก ท่านเป็นอยู่อย่างรู้แจ้งและมีสติ จนถึงวาระที่ท่านมรณภาพ การมองออกไปนอกตัว เป็นการเปรียบเทียบแบ่งเขาแบ่งเราท่านจะไม่พบความสุขโดยวิธีนี้ และท่านจะไม่พบความสงบเลย ถ้าท่านมัวเสียเวลาแสวงหาคนที่ดีพร้อม หรือครูที่ดีพร้อม พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เราดูที่ธรรมะ ที่สัจธรรม ไม่ใช่คอยจับตาดูผู้อื่น

๑๙. เราจะเอาชนะกามราคะที่เกิดขึ้นระหว่างการฝึกปฏิบัติได้อย่างไร บางครั้งรู้สึกเป็นทาสของความต้องการทางเพศ

กามราคะจะบรรเทาลงได้ด้วยการเพ่งพิจารณาถึงความน่าเกลียด โสโครก อสุภะ การยึดติดอยู่กับรูปร่างกายเป็นสุดโต่งข้างหนึ่ง ซึ่งเราต้องมองในทางตรงข้าม จงพิจารณาร่างกายเหมือนซากศพ และเห็นการเปลี่ยนแปลงเน่าเปื่อย หรือพิจารณาอวัยวะต่างๆของร่างกาย เช่น ปอด ม้าม ไขมัน อุจจาระ และอื่นๆ จำอันนี้ไว้ และพิจารณาให้เห็นจริงถึงความน่าเกลียดโสโครกของร่างกาย เมื่อมีกามราคะเกิดขึ้น ก็จะช่วยให้ท่านเอาชนะกามราคะได้

๒๐. เมื่อโกรธ ควรจะทำอย่างไร

ท่านต้องแผ่เมตตา ถ้าท่านมีโทสะในขณะภาวนา ให้แก้ด้วยเมตตาจิต ถ้ามีใครทำไม่ดีหรือโกรธ อย่าโกรธตอบ ถ้าท่านโกรธตอบท่านจะโง่ยิ่งกว่าเขา จงเป็นคนฉลาด สงสารเห็นใจเขา เพราะว่าเขากำลังได้ทุกข์ จงมีเมตตาเต็มเปี่ยมเหมือนหนึ่งว่าเขาเป็นน้องชายที่รักยิ่งของท่าน เพ่งอารมณ์เมตตาเป็นอารมณ์ภาวนา แผ่เมตตาไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลายในโลก เมตตาเท่านั้นที่จะเอาชนะโทสะและความเกลียดได้ บางครั้งท่านอาจจะเห็นพระภิกษุรูปอื่นปฏิบัติไม่สมควร ท่านอาจจะรำคาญใจ ทำให้เป็นทุกข์โดยใช่เหตุ นี้ไม่ใช่ธรรมะของเรา ท่านอาจจะคิดอย่างนี้ว่า "เขาไม่เคร่งเท่าฉัน เขาไม่ใช่พระกรรมฐานที่เอาจริงเอาจังเช่นฉัน เขาไม่ใช่พระที่ดี" นี่เป็นกิเลสเครื่องเศร้าหมองของตัวท่านเอง อย่าเปรียบเทียบ อย่าแบ่งเขา แบ่งเรา จงละทิฏฐิ ของท่านเสีย แล้วเฝ้าดูตัวท่านเอง นี่แหละคือธรรมะของเรา ท่านไม่สามารถบังคับให้ทุกคนประพฤติปฏิบัติตามที่ท่านต้องการ หรือเป็นเช่นท่านได้ ความต้องการเช่นนี้มีแต่จะทำให้ท่านเป็นทุกข์ ผู้ปฏิบัติภาวนามักจะพากันหลงผิดในข้อนี้ การจับตาดูผู้อื่นไม่ทำให้เกิดปัญญาได้ เพียงแต่พิจารณาตนเองและความรู้สึกของตน แล้วท่านก็จะเข้าใจ

๒๑. ง่วงเหงาหาวนอนอยู่มาก ทำให้ภาวนาลำบาก

มีวิธีเอาชนะความง่วงได้หลายวิธี ถ้าท่านนั่งอยู่ในที่มืด ย้ายไปอยู่ที่สว่าง ลืมตาขึ้น ลุกไปล้างหน้าตบหน้าตนเอง หรือไปอาบน้ำถ้าท่านยังง่วงอยู่อีก ให้เปลี่ยนอิริยาบถ เดินจงกรมให้มากหรือเดินถอยหลัง ความกลัวว่าจะไปชนอะไรเข้าจะทำให้ท่านหายง่วง ถ้ายังง่วงอยู่อีก ก็จงยืนนิ่งๆทำใจให้สดชื่น และสมมติว่าขณะนั้นสว่าง เป็นกลางวัน หรือนั่งริมหน้าผาสูง หรือบ่อลึก ท่านจะไม่กล้าหลับ ถ้าทำอย่างไรๆก็ไม่หายง่วง ก็จงนอนเสีย เอนกายลงอย่างสำรวมระวัง และรู้ตัวอยู่จนกระทั่งท่านหลับไป เมื่อท่านรู้สึกตัวตื่นขึ้น จงลุกขึ้นทันที อย่ามองดูนาฬิกาหรือหลับต่ออีก เริ่มต้นมีสติระลึกรู้ทันทีที่ท่านตื่น ถ้าท่านง่วงนอนอยู่ทุกวัน ลองฉันอาหารให้น้อยลง สำรวจตัวเอง ถ้าอีกห้าคำท่านจะอิ่ม จงหยุด แล้วดื่มน้ำจนอิ่มพอดี แล้วกลับไปนั่งดูใหม่อีก เฝ้าดูความง่วงและความหิว ท่านต้องกะฉันอาหารให้พอดี เมื่อท่านฝึกปฏิบัติต่อไปอีก ท่านจะรู้สึกกระปรี้ประเปร่าขึ้นแล้วฉันน้อยลง ท่านต้องปรับตัวของท่านเอง

๒๒. ทำไมเราจึงต้องกราบกันบ่อยๆ ที่นี่

การกราบนี้เป็นสิ่งสำคัญมาก เป็นรูปแบบซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติ การกราบนี้ต้องทำให้ถูกต้อง ก้มลงจนหน้าผากจรดพื้นวางศอกให้ชิดกับเข่า ฝ่ามือทั้งสองราบอยู่ที่พื้น ห่างกันประมาณสามนิ้ว กราบลงช้าๆ มีสติรู้อาการของกาย การกราบช่วยแก้ความถือตัวของเราได้เป็นอย่างดี เราควรกราบบ่อยๆ เมื่อท่านกราบสามหนท่านควรตั้งจิตระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ นั่นคือคุณลักษณะแห่งจิตอันสะอาด สว่าง และสงบ ดังนั้นเราจึงอาศัยรูปแบบนี้ฝึกฝนตน กาย และจิตจะประสาน กลมกลืนกัน อย่าได้หลงผิดไปจับตาดูว่าผู้อื่นกราบอย่างไร ถ้าสามเณรน้อยดูไม่ใส่ใจ และพระผู้เฒ่าดูขาดสติ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ท่านจะตัดสินใจ บางคนอาจจะสอนยาก บางคนเรียนได้เร็ว บางคนเรียนได้ช้า การพิจารณาตัดสินผู้อื่นมีแต่จะเพิ่มความหยิ่งทะนงตน จงเฝ้าดูตัวเอง กราบบ่อยๆ ขจัดความหยิ่งทะนงตนออกไป ผู้ที่เข้าถึงธรรมะได้อย่างแท้จริงแล้ว ท่านจะอยู่เหนือรูปแบบ ทุกๆอย่างที่ท่านทำก็มีแต่การอ่อนน้อมถ่อมตน เดินก็ถ่อม ฉันก็ถ่อมขับถ่ายก็ถ่อม ทั้งนี้ก็เพราะว่าท่านพ้นจากความเห็นแก่ตัวเสียแล้ว

๒๓. อุปสรรคใหญ่ของลูกศิษย์ใหม่ของท่านอาจารย์คืออะไร

ทิฏฐิ ความเห็น และความนึกคิดเกี่ยวกับสิ่งทั้งปวง เกี่ยวกับตัวเขาเอง เกี่ยวกับการปฏิบัติภาวนา เกี่ยวกับคำสอนของพระพุทธเจ้าหลายๆท่านที่มาที่นี่ ต่างมีตำแหน่งการงานสูงในสังคม บางคนเป็นพ่อค้าที่มั่งคั่ง หรือได้ปริญญาต่างๆ ครูและข้าราชการ สมองของเขาเต็มไปด้วยความคิดเห็นต่อสิ่งต่างๆ เขาฉลาดเกินกว่าที่จะฟังผู้อื่น เปรียบเหมือนน้ำในถ้วย ถ้าถ้วยมีน้ำสกปรกอยู่เต็ม ถ้วยน้ำก็ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ เมื่อได้เทน้ำเก่านั้นทิ้งไปแล้วเท่านั้น ถ้วยนั้นก็จะใช้ประโยชน์ได้ ท่านต้องทำจิตให้ว่างจากทิฏฐิ แล้วท่านจึงจะได้เรียนรู้ การปฏิบัติของเรานั้นอยู่เหนือความฉลาดหรือความโง่ ถ้าท่านคิดว่าฉันเก่ง ฉันรวย ฉันเป็นคนใหญ่คนโต ฉันเข้าใจพระพุทธศาสนาแจ่มแจ้งทั้งหมด เช่นนี้แล้ว ท่านจะไม่เห็นความจริงในเรื่องของอนัตตาหรือความไม่ใช่ตัวตน ท่านจะมีแต่ตัวตน ตัวฉัน ของฉัน แต่พระพุทธศาสนาคือการละตัวตน เป็นความว่าง เป็นความไม่มีทุกข์ เป็นนิพพาน

๒๔. กิเลสเครื่องเศร้าหมอง เช่นความโลภ หรือความโกรธเป็นเพียงมายา หรือเป็นของจริง

เป็นทั้งสองอย่าง กิเลสที่เราเรียกว่าราคะหรือความโลภ ความโกรธ และความหลง นั้นเป็นแต่เพียงชื่อ เป็นสิ่งที่ปรากฏขึ้นมา เช่นเดียวกับที่เราเรียกชามใหญ่ ชามเล็ก สวย หรืออะไรก็ตาม นี่ไม่ใช่สภาพที่เป็นจริง แต่เป็นความคิดปรุงแต่งที่เราคิดปรุงขึ้นจากตัณหา ถ้าเราต้องการชามใหญ่ เราก็ว่าอันนี้เล็กไป ตัณหาทำให้เราแบ่งแยกความจริงก็คือมันก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้น ลองมามองแง่นี้บ้าง ท่านเป็นผู้ชายหรือเปล่า ท่านตอบว่าเป็น นี่เป็นเพียงรูปปรากฏของสิ่งต่างๆ แท้จริงแล้ว ท่านเป็นส่วนประกอบของธาตุและขันธ์ ถ้าจิตเป็นอิสระแล้ว จิตจะไม่แบ่งแยก ไม่มีใหญ่ ไม่มีเล็ก ไม่มีเขา ไม่มีเรา ไม่มีอะไรจะเป็นอนัตตา หรือความไม่ใช่ตัวตน แท้จริงแล้วในบั้นปลายก็ไม่มีทั้งอัตตาและอนัตตา เป็นแต่เพียงชื่อเรียก

๒๕. ขอความกรุณาอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับกรรมด้วย

กรรม คือ การกระทำ กรรม คือการยึดมั่นถือมั่น กาย วาจา และใจ ล้วนสร้างกรรมเมื่อมีการยึดมั่นถือมั่น เราทำกันจนเกิดความเคยชินเป็นนิสัย ซึ่งจะทำให้เราเป็นทุกข์ได้ในกาลข้างหน้า นี่เป็นผลของการยึดมั่นถือมั่น และของกิเลส เครื่องเศร้าหมองของเราที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต ความยึดมั่นทั้งหลายจะทำให้เราสร้างกรรม สมมติว่าท่านเคยเป็นขโมย ก่อนที่จะบวชเป็นพระ ท่านขโมยเขา ทำให้เขาไม่เป็นสุข ทำให้พ่อแม่หมดสุข ตอนนี้ท่านเป็นพระ แต่เวลาที่ท่านนึกถึงเรื่องที่ท่านทำให้ผู้อื่นหมดสุขแล้ว ท่านก็ไม่สบายใจ และเป็นทุกข์ แม้จนทุกวันนี้ จงจำไว้ว่า ทั้งกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม จะเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดผลในอนาคตได้ ถ้าท่านเคยสร้างกรรมดีไว้ในอดีต และวันนี้ก็ยังจำได้ ท่านก็เป็นสุข ความสุขใจเป็นผลจากกรรมในอดีต สิ่งทั้งปวงมีเหตุเป็นปัจจัย ทั้งในระยะยาว และถ้าใคร่ครวญ ดูแล้วทั้งในทุกๆขณะด้วย แต่ท่านอย่าไปนึกถึงอดีต หรือปัจจุบัน หรืออนาคตเพียงเฝ้าดูกายและจิต ท่านจะต้องพิจารณาจนเห็นจริงในเรื่องกรรม ด้วยตัวของท่านเอง จงเฝ้าดูจิตปฏิบัติแล้วท่านจะรู้อย่างแจ่มแจ้ง อย่าลืมว่ากรรมของใครก็เป็นของคนนั้น อย่ายึดมั่น และอย่าจับตาดูผู้อื่น ถ้าเราดื่มยาพิษ เราก็ได้ทุกข์ ไม่ใช่เรื่องที่ท่านจะมาเป็นทุกข์ด้วย จงรับเอาแต่สิ่งดีที่อาจารย์สอน แล้วท่านจะเข้าถึงความสงบ จิตของท่านจะเป็น เช่นเดียวกันกับจิตของอาจารย์ ถ้าท่านพิจารณาดูท่านก็จะรู้ได้ แม้ว่าขณะนี้ท่านจะยังไม่เข้าใจ เมื่อท่านปฏิบัติต่อไปมันก็จะแจ่มแจ้งขึ้น ท่านจะรู้ได้ด้วยตนเอง ได้ชื่อว่า ปฏิบัติธรรม เมื่อเรายังเล็ก พ่อแม่วางกฎระเบียบกับเรา และหัวเสียกับเรา แท้จริงแล้วท่านต้องการจะช่วยเรา กว่าเราจะรู้ก็ต่อมาอีกนาน พ่อแม่และครูบาอาจารย์ ดุว่าเรา และเราก็ไม่พอใจ ต่อมาเราจึงเข้าใจว่าทำไมเราจึงถูกดุ ปฏิบัติไปนานๆแล้วท่านก็จะเห็นเอง ส่วนผู้ที่คิดว่าตนฉลาดล้ำก็จะจากไปในเวลาอันสั้น เขาไม่มีเวลาไม่มีวันจะได้เรียนรู้ ท่านต้องขจัดความคิดว่าตัวฉลาดสามารถออกไปเสีย ถ้าท่านคิดว่าท่านดีกว่าผู้อื่น ท่านก็จะมีแต่ทุกข์ เป็นเรื่องน่าสงสาร อย่าขุ่นเคืองใจ แต่จงเฝ้าดูตนเอง

๒๖. บางครั้งดูเหมือนว่าตั้งแต่บวชเป็นพระมานี้ประสบความ ยากลำบากและความทุกข์มากขึ้น

พวกท่านบางคนมีภูมิหลังที่สะดวกสบายทางวัตถุมาก่อนและมีเสรีภาพ เมื่อเปรียบกันแล้ว ขณะนี้ท่านต้องเป็นผู้อยู่อย่างสำรวมตนเองและมักน้อยยิ่งนัก ซ้ำในการฝึกปฏิบัตินี้ ยังให้ท่านนั่งนานและคอยหลายชั่วโมง อาหารและดินฟ้าอากาศก็ต่างกันไปกับบ้านเมืองของท่าน แต่ทุกคนก็ต้องผ่านความทุกข์ยากกันบ้าง นี่คือความทุกข์ที่จะนำไปสู่ความดับทุกข์ อย่างนี้แหละที่จะทำให้ท่านได้เรียนรู้ เมื่อท่านนึกโกรธ หรือนึกสงสารตัวเอง นั่นแหละเป็นโอกาสเหมาะที่จะเข้าใจเรื่องของจิต พระพุทธเจ้าตรัสว่ากิเลสทั้งหลายเป็นครูของเรา ศิษย์ทุกคนก็เหมือนลูกของเรา เรามีแต่เมตตากรุณาและความปรารถนาดีต่อทุกคน ถ้าเราทำให้ท่านทุกข์ยากก็เพื่อประโยชน์ของท่านเอง เรารู้ว่าพวกท่านบางคนมีการศึกษาดี และมีความรู้สูง ผู้ที่มีการศึกษาน้อย และมีความรู้ทางโลกน้อย จะฝึกปฏิบัติได้ง่าย มันก็เหมือนกับว่า ฝรั่งเช่นท่านนี้มีบ้านหลังใหญ่ที่จะต้องเช็ดถู เมื่อเช็ดถูแล้วท่านก็จะมีที่อยู่กว้างขวาง มีครัว มีห้องสมุด มีห้องนั่งเล่น ท่านต้องอดทน ความอดทนและความทนได้สำคัญมากในการฝึกปฏิบัติของเรา เมื่อเรายังเป็นพระหนุ่มๆอยู่ เราไม่ได้รับความยากลำบากมากเท่าท่าน เราพูดภาษาพื้นเมือง และฉันอาหารพื้นเมืองของเราเอง แม้กระนั้นบางวันเราก็ทอดอาลัย ผมอยากสึก และถึงกับอยากฆ่าตัวตายความทุกข์เช่นนี้เกิดจากความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ)เมื่อท่านเข้าถึงสัจธรรมแล้ว ท่านจะละทิ้งทัศนะและทิฏฐิเสียได้ ทุกอย่างจะเข้าสู่ความสงบ

๒๗. เจริญสมาธิภาวนาจนจิตสงบลึก ควรทำอย่างไร ต่อไป

นี่ก็ดีแล้ว ทำจิตให้สงบเป็นสมาธิ และใช้สมาธินี้พิจารณาจิตและกาย ถ้าจิตเกิดไม่สงบก็จงเฝ้าดูด้วย แล้วท่านจะรู้ถึงความสงบที่แท้จริง เพราะอะไร เพราะท่านจะได้เห็นความไม่เที่ยง แม้ความสงบเองก็ดูให้เห็นไม่เที่ยง ถ้าท่านยึดติดอยู่กับภาวะจิตที่สงบ แล้วท่านจะเป็นทุกข์เมื่อจิตไม่สงบ ฉะนั้นจงปล่อยวางหมดทุกสิ่งแม้แต่ความสงบ

๒๘. ได้ยินท่านอาจารย์พูดว่าท่านเป็นห่วงลูกศิษย์ที่พากเพียรมาก ใช่ไหม

ถูกแล้ว เป็นห่วง ห่วงว่าเขาเอาจริงเอาจังจนเกินไป เขาพยายามเกินไป แต่ขาดปัญญา เขาเคี่ยวเข็ญตนเองไปสู่ความทุกข์ยากโดยไม่จำเป็น บางคนมุ่งมั่นที่จะรู้แจ้ง เขาขบฟันแน่นและใจดิ้นรนอยู่ตลอดเวลา อย่างนี้เป็นความพยายามมากเกินไป คนทั่วไปก็เช่นเดียวกัน พวกเขาไม่รู้ถึงสภาพเป็นจริงของสิ่งทั้งปวง สังขารทั้งปวง จิตและร่างกายล้วนเป็นของไม่เที่ยง จงเฝ้าดูและอย่ายึดมั่นถือมั่น บางคนคิดว่าเขารู้ เขาวิพากษ์วิจารณ์ จับตามองและลงความเห็นเอาเอง อย่างนี้ก็ตามใจเขา ทิฏฐิของใครก็ปล่อยให้เป็นของคนนั้น การแบ่งเขาแบ่งเรานี้อันตราย เปรียบเหมือนทางโค้งอันตรายของถนน ถ้าเราคิดว่าคนอื่นด้อยกว่า หรือดีกว่า หรือเสมอกันกับเรา เราก็ตกทางโค้ง ถ้าเราแบ่งเขา แบ่งเรา เราก็จะเป็นทุกข์

๒๙. ได้เจริญสมาธิภาวนามาหลายปีแล้ว ใจเปิดกว้างและสงบระงับเกือบจะในทุกสภาพการณ์ เวลานี้อยากจะย้อนหลัง และฝึกทำสมาธิชั้นสูง หรือฝึกฌาน

จะทำอย่างนั้นก็ได้ เป็นการฝึกจิตที่มีประโยชน์ ถ้าท่านมีปัญญาท่านจะไม่ยึดติดอยู่ในสมาธิจิต ซึ่งก็เหมือนกันกับอยากนั่งภาวนานานๆ อยากจะลองฝึกอย่างนั้นดูก็ได้ แต่จริงๆ แล้วการฝึกนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับท่วงท่าอิริยาบถต่างๆ แต่นี่เป็นการมองตรงเข้าไปในจิตนี่คือปัญญา เมื่อท่านพิจารณาและเข้าใจชัดในเรื่องของจิตแล้ว ท่านก็จะเกิดปัญญา รู้ถึงขอบเขตของสมาธิ หรือขอบเขตของตำรับตำรา เมื่อท่านได้ฝึกปฏิบัติ และเข้าใจจริงเรื่องการไม่ยึดมั่นถือมั่นแล้ว ท่านจะกลับไปอ่านตำรับตำราก็ได้ เปรียบได้เหมือนขนมหวาน จะช่วยท่านในการสอนผู้อื่น หรือท่านจะหวนกลับไปฝึกฌานก็ได้ ถ้าท่านมีปัญญารู้แล้วที่จะไม่ยึดถือในสิ่งใด

๓๐. ขอความกรุณา ทบทวนใจความสำคัญของ การสนทนา นี้ด้วย

ท่านต้องสำรวจตัวเอง รู้ว่าท่านเป็นใคร รู้ทันกายและจิตใจของท่าน โดยการเฝ้าดูในขณะนั่งภาวนา หลับนอน และขบฉัน จงรู้ความพอดีพอเหมาะสำหรับตัวท่าน ใช้ปัญญาในการฝึกปฏิบัตินี้ ต้องละความอยากที่จะบรรลุผลใดๆ จงมีสติรู้ว่าอะไรเป็นอยู่ การเจริญสมาธิภาวนาของเราก็คือการมองตรงเข้าไปในจิต ท่านจะมองเห็นทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ และความดับไปแห่งทุกข์ แต่ท่านต้องมีความอดทน อดทนอย่างยิ่ง และต้องทนได้ ท่านจะค่อยๆได้เรียนรู้ พระพุทธเจ้าทรงสอนให้สาวกอยู่กับอาจารย์อย่างน้อยห้าปี ท่านจะต้องเห็นคุณค่าของการให้ทานของความอดทนและของการเสียสละ อย่าปฏิบัติเคร่งเครียดจนเกินไป อย่ายึดติดอยู่กับรูปแบบภายนอก การจับตาดูผู้อื่น เป็นการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้อง จงเป็นปกติตามธรรมชาติ และเฝ้าดูสิ่งนี้อยู่ พระวินัยของพระสงฆ์ และกฎระเบียบของวัดสำคัญมาก ทำให้เกิดบรรยากาศที่เรียบง่าย และประสานกลมกลืน จงใช้ให้เป็น แต่จำไว้ว่า ความสำคัญของพระวินัยของพระสงฆ์ คือการเฝ้าดูเจตนาและสำรวจจิต ท่านต้องใช้ปัญญาอย่าแบ่งเขาแบ่งเรา ท่านจะขัดเคืองใจหรือไม่ ถ้าต้นไม้เล็กๆในป่าไม้สูงใหญ่และตรง อย่างต้นอื่นๆ นี่เป็นเรื่องโง่เขลา อย่าไปตัดสินคนอื่นคนเรามีหลายแบบต่างๆกัน อย่าคอยแต่มั่นหมายที่จะเปลี่ยนแปลงใครๆไปหมดทุกคน ดังนั้นจงอดทนและฝึกให้มีคุณธรรม มีความเป็นอยู่อย่างง่ายๆและเป็นปกติตามธรรมชาติ เฝ้าดูจิต นี่แหละคือการปฏิบัติของเรา ซึ่งจะนำไปสู่ความไม่เห็นแก่ตัว และความสงบสันติ

วันอังคารที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

โพธิปักขิยธรรมภาคปฏิบัติ โดยพระภาวนาวิสุทธิคุณ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม) ๕ ธันวาคม ๒๕๓๒

วันนี้จะชี้แจงภาคปฏิบัติธรรม แยกรูปแยกนามในโพธิปักขิยธรรม ให้ญาติโยมฟังเพื่อนำมาเป็นหลักปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ เหตุผลที่ให้ปฏิบัติโดยไม่ห่วงภาควิชาการ ให้ปฏิบัติค้นหาเหตุผลให้กุศลเกิดขึ้นจากวิธีปฏิบัติให้ผุดขึ้นมาในดวงใจเองนั้น เพราะท่านทิ้งความรู้เดิมที่เป็นทิฐิมานะในชีวิตของตนให้หมดจากจิตใจไป การปฏิบัติจริงนั้น เกิดจากดวงใจคือภาวนา เป็นปัญญาใสสะอาด ผุดขึ้นมาเอง จึงจะเป็นการปฏิบัติได้ของจริงด้วยความถูกต้อง ดังนั้นจึงต้อง ห้ามดูหนังสือ ห้ามคุยกัน ที่พูดย้ำมานานคือ กินน้อยนอนน้อย ทำความเพียรมาก หากปฏิบัติได้ตามองค์ภาวนานี้ ก็จะพบวิชาการ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงศึกษาค้นพบด้วยพระองค์เอง เรียกว่าวิชาพ้นทุกข์ และมาแยกแยะออกไปในรูปนาม ขันธ์ ๕ เป็นอารมณ์ อายตนะ ธาตุ อินทรีย์ บอกหน้าที่การงาน พละ ๕ ประการ เป็นต้น ก็ได้จากวิธีปฏิบัติภาวนานี้ทั้งหมด พระอรหันต์สมัยพุทธกาล มีพระมหากัสสปเถระ เป็นประธานประชุมกันทำสังคายนา รวบรวมท่องจำแล้ว จารึกเป็นพระไตรปิฎก หยิบยกขึ้นมาเป็นวิชาการให้พวกเราได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมตราบจนทุกวันนี้ การแสวงหาที่สงบในอรัญราวป่า คือรุกขมูล เป็นการปฏิบัติให้จิตสงบ ในเมื่อจิตสงบไม่ฟุ้งซ่านแล้ว ปัญญาก็เกิดขึ้นในสังขารที่ปรุงแต่ง เกิดเป็นวิญญาณ แสดงท่าทีออกมา โดยแยกรูป แยกนาม ขันธ์ ๕ เป็นอารมณ์ออกมาได้ โดยวิธีนี้ถือว่าเป็นข้อปฏิบัติ แต่ปฏิบัติเกิดก่อนปริยัติแน่ พระพุทธเจ้าไปปฏิบัติก่อน จนสำเร็จสัมโพธิญาณแล้ว จึงได้แยกแยะออกไป เป็นจิต เจตสิก รูป นิพพาน ออกไปตามรูปการณ์อย่างนี้ ในการปฏิบัติจะเหลือ ๒ คือ สติ สัมปชัญญะ ที่กำหนด ใช้สติกำหนดจิต ให้จิตรู้หน้าที่การงานโดยถูกต้อง แล้วจะเหลืออยู่หนึ่งเดียว คือความไม่ประมาท ดำเนินชีวิตด้วยความถูกต้อง นี่เป็นหลักปฏิบัติ ต่อไปนี้จะบรรยายโพธิปักขิยธรรมภาคปฏิบัติให้ญาติโยมฟัง คำว่า " โพธิปักขิยธรรม " แยกออกแล้วมีความหมายอย่างนี้ " โพธิ " แปลว่า รู้ รู้โดยความหมายของคำว่าโพธินี้หมายถึง การรู้ที่จะทำให้สิ้นอาสวะ คือ รู้อริยสัจ ๔ " ปักขิย " แปลว่า ที่เป็นฝ่าย โพธิปักขิยธรรม จึงหมายความว่า ธรรมที่เป็นฝ่ายรู้ถึงมรรคผล ถ้าจะแปลสั้น ๆ ก็ว่า ธรรมที่เป็นฝ่ายให้ถึงการตรัสรู้
โพธิปักขิยธรรมนี้ แบ่งออกเป็น ๗ กอง รวมเป็นธรรมะ ๓๗ ประการ ในธรรม ๓๗ ข้อนี้ จะได้องค์ธรรมที่ไม่ซ้ำกัน ๑๔ องค์ ขอให้ทำความเข้าใจไว้ก่อนตามที่กล่าวนี้โพธิปักขิยธรรม ๗ กอง ได้แก่
๑.สติปัฏฐาน มี ๔ ประการ
๒.สัมมัปปธาน มี ๔ ประการ
๓.อิทธิบาท มี ๔ ประการ
๔.อินทรีย์ มี ๕ ประการ
๕.พละ มี ๕ ประการ
๖.โพชฌงค์ มี ๗ ประการ
๗.มรรค มี ๘ ประการ
กองที่ ๑ ได้แก่ สติปัฏฐาน ๔ ที่ปฏิบัติอยู่ ณ บัดนี้ สติ ความระลึกรู้อารมณ์ เป็นธรรมฝ่ายดี รู้ทันอารมณ์ในสติปัฏฐาน ได้แก่ กาย เวทนา จิต ธรรม สติที่ระลึกรู้ กาย เวทนา จิต ธรรม มีจุดประสงค์จำแนกเป็น ๒ ทาง คือ
๑.ถ้าเจริญสมถภาวนา ก็พิจารณาตั้งมั่นในบัญญัติ เพื่อให้จิตสงบ มีอานิสงส์ให้บรรลุ ฌานสมาบัติ
๒.ถ้าเจริญวิปัสสนาภาวนา ก็พิจารณาตั้งมั่นอยู่ในรูปนาม เพื่อให้เกิดปัญญา เห็นพระไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มีอานิสงส์ให้บรรลุถึงมรรค ผล นิพพาน
การพิจารณาไตรลักษณ์ ก็เพื่อให้รู้สภาพตามความเป็นจริงว่า สิ่งทั้งหลายที่ยึดถือเป็นตัวตนเป็นชายหญิงนั้นล้วนแต่เป็นเพียงรู้เป็นเพียงรูปกับนามเท่านั้น และรูปนามเหล่านั้นยังมีลักษณะเป็น อนิจจัง เป็นทุกขัง เป็นอนัตตา หาแก่นสารไม่ได้เลย จะได้ไม่ติดอยู่ในความยินดีพอใจ อันเป็นการเริ่มต้นที่จะให้ถึงการดับทุกข์ต่อไป
ฉะนั้นสติปัฏฐาน ๔ จึงเป็นทางสายเอก จัดว่าเป็นทางสายเดียวที่สามารถให้ผู้ที่ดำเนินตามทางนี้ ถึงความรอบรู้ความจริงจนบรรลุพระนิพพาน ดังนั้นผู้ปรารถนาจะบรรลุถึงมรรค ผล นิพพาน ต้องเริ่มต้นด้วยสติปัฏฐาน เพื่อบรรลุญาณธรรม เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน
ญาณธรรม คือ ธรรมที่ควรรู้มีอยู่ ๕ ประการ ได้แก่
๑.สังขาร คือ ธรรมที่ปรุงแต่ง ได้แก่ จิต เจตสิก รูป
๒.วิกาล คือ ธรรมที่เปลี่ยนแปลงผันแปร ได้แก่ ธรรมที่เปลี่ยนแปลงผันแปรของสัตว์ที่เป็นไปในภพต่าง ๆ
๓.ลักษณะ คือ ธรรมที่เป็นเหตุให้รู้ให้เห็น ได้แก่ลักษณะของสภาวะ
๔.นิพพาน คือ ธรรมที่พ้นจากกิเลส คือ อสังขตธรรม อสังขตธรรมนี้เราก็จะมองเห็นเด่นชัดเช่นเดียวกัน
๕.บัญญัติ คือ ธรรมที่สมมติใช้พูดจาเรียกขานกัน ได้แก่ อัตถบัญญัติ และสัททบัญญัติ
อารมณ์ของสติปัฏฐาน มี ๔ อย่าง คือ
๑.กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือ สติที่ตั้งมั่นพิจารณากายเนือง ๆ ได้แก่สติที่กำหนดรู้ ที่เรากำหนดอยู่ ณ บัดนี้ ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก อิริยาบถใหญ่ คือ ยืน เดิน นั่ง นอน อิริยาบถย่อย ได้แก่การเคลื่อนไหว คู้เหยียด เหยียดขา เป็นต้น เพื่อให้ตระหนักว่า การยืน การเดิน นั่ง นอน อันเป็นการเคลื่อนไหวของร่างกายนั้น เกิดจากธาตุลมที่มีอยู่ในร่างกาย โดยอำนาจของจิต ทางธรรมะ เรียกว่า รูป คือ รูปที่เกิดจากจิต หาได้มีผู้ใดมาบงการแต่อย่างใดไม่ ในบางแห่งจะพบว่าพิจารณากายในกาย หรือ กายในอันเป็นภายใน กายในอันเป็นภายนอก คำเหล่านี้เป็นภาษาธรรมะ อธิบายกันเป็นหลายนัย เช่น กาเยกายานุปัสสี แปลว่าเห็นกายในกาย คำว่า กาเย หมายถึง รูปกับกาย คือ กัมมัชรูป แต่ร่างกาย มีทั้งจิต เจตสิก และรูป ส่วนคำว่า กายานุปัสสี หมายเพียงให้ กำหนดดูแต่รูปธรรม เท่านั้น คือดูรูปอย่างเดียว ไม่ใช่ดูจิต เจตสิกที่มีอยู่ในร่างกายด้วย คำว่า กายในกาย หมายตรงว่า รูปในรูป แต่ในร่างกายนี้มีมากมายหลายรูป แต่ให้พิจารณาดูรูปเดียวในหลาย ๆ รูปนั้น เช่น จะพิจารณาลมหายใจ เข้าออก พองหนอ ยุบหนอ คือ ลมหายใจเข้าก็พอง ลมหายใจออกก็ยุบ ก็พิจารณาวาโยธาตุแต่รูปเดียว เรียกว่าอานาปาณสติ ลมหายใจเข้าออก พองหนอ ยุบหนอ เรียกว่า อานาปาณสติ ส่วนคำว่า กายในอันเป็นภายใน และกายในอันเป็นภายนอกนั้น ถ้าพิจารณาดูรูปในกายของตนเองก็เป็นภายใน รูปในกายผู้อื่นถือว่าเป็นภายนอก ดังนี้
๒.เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน การพิจารณาเวทนานี้ ใช้ในการเจริญวิปัสสนาอย่างเดียว ต่างกับพิจารณากาย ใช้ได้ทั้งสมถะและวิปัสสนา เพราะจะเพ่งเวทนาโดยความเป็นอารมณ์ของสมถกรรมฐานให้เกิดฌานจิตหาได้ไม่ การพิจารณาเวทนา จะเป็นสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรือ อุเบกขาเวทนาก็ดี เป็นธรรมชาติที่ไม่มีรูปร่างสัณฐานที่จะให้เห็นได้ด้วยตา จึงมิใช่รูปธาตุ แต่เป็นนามธาตุ เวทนาจะเกิดขึ้นเมื่อมีเหตุปัจจัย จะห้ามไม่ให้เกิดก็ห้ามไม่ได้ ครั้นเมื่อหมดเหตุปัจจัยก็จะดับไปเอง หมดไปเอง เป็นต้น อนึ่ง ความหมายเวทนาในเวทนานี้ และเวทนาในเวทนาอันเป็นภายใน ภายนอกก็เป็นทำนองเดียวกับกายในกายตามที่กล่าวมาแล้ว ความจริงเวทนาก็เกิดอยู่ทุกขณะ ไม่มีเวลาว่างเว้นเลย คนทั้งหลายก็รู้สึกสุขบ้าง ทุกข์บ้าง เพราะไปยึดว่า เราสุข เราทุกข์ จึงไม่อาจรู้สภาวะความเป็นจริงได้ เวทนานี้เวลาเกิดขึ้นก็จะเกิดแต่อย่างเดียว เป็นเจตสิกธรรม ปรุงแต่งให้จิตรับรู้
๓.จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน สติตั้งมั่นพิจารณาเนือง ๆ ซึ่งจิต ก็คือวิญญาณขันธ์ ที่กำหนดพิจารณาจิต ก็เพื่อให้รู้เท่าทันว่า จิตที่กำลังเกิดอยู่นั้นเป็นจิตชนิดใด จิตเป็นโลภ จิตโกรธ จิตหลง จิตฟุ้งซ่าน จิตที่เป็นสมาธิหรือไม่เป็นสมาธิ เพื่อให้ประจักษ์ชัดว่า ที่มีความรู้สึกโลภ โกรธ หลง หรือ ศรัทธา ฟุ้งซ่าน เกียจคร้าน เป็นอาการของจิต เป็นธรรมชาติที่เป็นนามธรรม ย่อมเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่มาปรุงแต่ง เพื่อรับอารมณ์ เมื่อหมดเหตุปัจจัย อาการนั้น ๆ ก็ดับไปเอง ไม่มีอะไรเหลืออยู่อันสภาวธรรมที่เรียกว่า จิต นั้น เป็นธรรมชาติที่ไม่มีตัวตน เห็นด้วยตาก็ไม่ได้ จึงไม่ใช่รูปธรรม แต่เป็นนามธรรม เป็นนามจิต ไม่ใช่นามเจตสิก เช่นเวทนา เป็นต้นที่ว่าจิตในจิต หรือ จิตภายใน จิตภายนอกนั้น ก็เช่นเดียวกับที่กล่าวมาแล้วข้างต้นเหมือนกัน
๔.ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน สติตั้งมั่นพิจารณาเนือง ๆ ซึ่งธรรม มีนิวรณ์ อุปาทานขันธ์ อายตนะ โพชฌงค์ อริยสัจ ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐานนี้ เป็นสติในการเจริญวิปัสสนาแต่อย่างเดียว เป็นการพิจารณาให้รู้ให้เห็นทั้งรูปทั้งนาม จึงกล่าวได้ว่าการพิจารณา กาย เวทนา และจิต ย่อมรวมลงได้ในธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐานทั้งสิ้น สรุปแล้วการเจริญสติปัฏฐาน ๔ ก็เพื่อให้เกิดปัญญารู้ว่า กายก็สักแต่ว่ากาย เวทนาก็สักแต่ว่าเวทนา จิตก็สักแต่ว่าจิต ล้วนแต่เป็นเพียงธรรมชาติ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนเราเขา แม้แต่สติหรือปัญญาที่รู้ก็เป็นเพียงธรรมชาติเท่านั้น ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐานนี้ พิจารณาทั้งรูปธรรม นามธรรม ปัญญารู้แจ้งเห็นชัดทั้งรูปทั้งนาม แยกจากกันเป็นคนละสิ่งคนละส่วน รูปก็ส่วนรูป นามก็ส่วนนาม ไม่ปะปนกันไม่ใช่สิ่งเดียวกัน รู้เห็นเช่นนี้จัดว่าเข้าถึงนามรูปปริจเฉทญาณ อันเป็นญาณต้น ที่เป็นทางให้บรรลุถึงมรรคและผลต่อไป
ผลที่ได้รับจากการเจริญสติปัฏฐาน ๔ นั้นก็คือ
๑. พิจารณา กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน อารมณ์ที่พิจารณาก็คือ รูปขันธ์ เหมาะแก่มัณฑบุคคลที่มีตัณหาจริต เพราะนิมิตที่ได้จากการพิจารณา ได้แก่ อสุภสัญญา จะประหาร สุภสัญญา
๒.พิจารณา เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน อารมณ์ที่พิจารณา คือ เวทนาขันธ์ ซึ่งเป็นอารมณ์ละเอียด เหมาะแก่บุคคลซึ่งมีตัณหาจริต เพราะนิมิตที่ได้จากการพิจารณาได้แก่ ทุกขสัญญา ทำให้ประหาร สุขสัญญา เสียได้
๓.พิจารณา จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน อารมณ์ที่พิจารณาคือ วิญญาณขันธ์ ซึ่งมีอารมณ์ไม่กว้างขวางนัก เหมาะแก่มัณฑบุคคลที่มีทิฏฐิจริต เพราะนิมิตที่ได้จากการพิจารณาได้แก่ อนิจจสัญญา ทำให้ประหาร นิจจสัญญา เสียได้
๔.พิจารณา ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน อารมณ์ที่พิจารณา คือ ทั้งรูปทั้งนาม ซึ่งมีอารมณ์กว้างขวางมาก เหมาะแก่บุคคลที่มีทิฏฐิจริต เพราะนิมิตที่ได้จากการพิจารณาได้แก่ อนัตตสัญญา ทำให้ประหาร อัตตสัญญา เสียได้
ฉะนั้นการเจริญสติปัฏฐาน ก็เพื่อให้เกิดปัญญาเห็นรูปเห็นนามที่เคยเห็นว่า สวยงาม เห็นว่าเป็น ความสุขสบาย เห็นว่า เที่ยง เห็นว่าเป็นตัวตน จะได้รู้ว่าของจริงแท้นั้นเป็นประการใด โดยการเข้าใจเห็นแจ้งว่า สภาวะนั้นประกอบด้วย ไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา การเจริญสติปัฏฐาน ควรกระทำด้วยความมีสติสัมปชัญญะ
สติ ก็คือ ตั้งมั่นในการพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม อย่างนี้ เพื่อให้เกิดปัญญาเห็นว่า รูป นาม นั้นมีสภาพเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
สัมปชัญญะ คือ ให้พินิจเห็นว่ามีประโยชน์ และพินิจพิจารณาว่าควรทำ จึงทำเพื่อให้เกิดปัญญายิ่ง ๆ ขึ้น จึงจะบรรลุมรรคและผลได้ขอให้เข้าใจว่า อันความพินิจที่จะประกอบด้วยปัญญา หรือ สติสัมปชัญญะนี้ ถ้ามีแก่ผู้ใดแล้ว นับว่าผู้นั้นอยู่ใกล้พระนิพพาน ทั้งนี้เพราะ นัตถิ ฌานัง อปัญญัสสะ ความพินิจย่อมไม่มีแก่ผู้หาปัญญามิได้ นัตถิ ปัญญา อฌายิโน ปัญญาย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ ตัมหิ ฌานัญจะ ปัญญัญจะ นิพพานะ สันติเก ความพินิจกาลปัญญา มีในผู้ใด ผู้นั้นแหละอยู่ใกล้พระนิพพาน
กองที่ ๒ สัมมัปปธาน ๔ คือ เพียรพยายามทำการงานที่ชอบ ความเพียรพยายามชอบ ที่จะจัดเป็นสัมมัปปธาน ต้องประกอบด้วยหลัก ๒ ประการคือ
๑.ต้องเป็นความเพียรพยายามอย่างยิ่งยวด แม้ว่าเลือดเนื้อจะเหือดแห้ง เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกก็ตาม หากยังไม่บรรลุถึงธรรมอันพึงถึงแล้ว ก็จะไม่ถดถอยความเพียรพยายามนั้นต่อไป
๒.ความเพียรพยายามที่ว่ายิ่งยวดนั้น ต้องเป็นไปในธรรม ๔ ประการ จึงจะได้ชื่อว่า สัมมัปปธาน ธรรม ๔ ประการนั้นได้แก่
๒.๑ เพียรพยายามไม่ให้อกุศลที่ยังไม่เกิดไม่ให้เกิดขึ้น
๒.๒ เพียรพยายามละอกุศลที่เกิดแล้วให้หมดไป
๒.๓ เพียรพยายามให้กุศลธรรมที่ยังไม่เกิดขึ้นให้เกิดขึ้น
๒.๔ เพียรพยายามให้กุศลธรรมที่เกิดแล้วให้เจริญยิ่งขึ้น
ข้อควรรู้ ตามธรรมดาอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้วนั้นย่อมดับไปแล้ว และการที่จะลบล้างอกุศลที่เกิดแล้วให้หมดสิ้นไปนั้นย่อมทำไม่ได้ ที่กล่าวว่าจะเพียรพยายามที่ละอกุศลธรรมให้หมดไปนั้น ขอให้เข้าใจว่าเพียงแต่พยายามอย่าไปนึกถึงอกุศลนั้น ๆ อีก เพราะว่าถ้าไปนึกคิดขึ้นอีก ก็จะทำให้จิตใจเศร้าหมอง กระวนกระวายใจ จัดว่าอกุศลได้เกิดขึ้นแล้วทางมโนทวาร จึงต้องพยายามจนลืมเสีย ไม่เก็บมานึกคิดอีก และตั้งใจให้มั่นว่า จะไม่กระทำการใด ๆ ที่เป็นอกุศลอีก ดังนี้แหละจึงจะได้ชื่อว่า เพียรเพื่อละอกุศลที่เกิดแล้วให้หมดไป อีกนัยหนึ่งแสดงว่าอกุศลที่ได้ทำแล้วนั้น ที่ให้ผลแล้วก็มี ที่ยังไม่ให้ผล เพราะยังไม่มีโอกาสก็มี แต่ที่จะอันตรธานสูญหายไปเองนั้นไม่มีเลย แต่ถ้าในชาติใดสามารถประหารสักกายทิฏฐิได้แล้ว ด้วยสัมมัปปธานทั้งสี่นี้ ชาตินั้นแหละถือว่าได้ละอกุศลที่ได้เคยทำมาแล้วอย่างสิ้นเชิง
กองที่ ๓ อิทธิบาท ๔ ธรรมที่เป็นเหตุให้ถึงความสัมฤทธิ์ผล ชื่อว่า อิทธิบาท ความสำเร็จหรือสัมฤทธิ์ผล คือบรรลุถึงกุศลฌานจิต และมรรคจิต ชื่อว่าอิทธิบาท เป็นธรรมที่ให้ถึงความสำเร็จ เป็นกิจการงานอันเป็นกุศลเท่านั้น ได้แก่
๑.ฉันทะ ความพอใจและเต็มใจ
๒.วิริยะ คือความพยายามอย่างยิ่งยวด
๓.จิตตะ คือการที่มีจิตจดจ่อ ฝักใฝ่แน่วแน่
๔.วิมังสา คือปัญญา
มีข้อควรสังเกตว่าองค์ธรรมของอิทธิบาทเหมือนองค์ธรรมของธรรมที่ได้ชื่อว่าเป็นอธิบดี ซึ่งมีความความหมายว่า เป็นไปเพื่อให้กิจการงานสำเร็จผลเช่นกัน แต่กระนั้นก็ยังมีความแตกต่างกันอยู่ คือธรรมที่ชื่อว่า เป็น อธิบดี ได้นั้นจะเป็นไปในกิจการงานอันเป็นทั้ง กุศลและอกุศลส่วนธรรมที่ชื่อว่า อิทธิบาท นั้น เป็นไปเพื่อความสำเร็จกิจอันเป็นกุศลฝ่ายเดียว และต้องเป็นกุศลที่จะให้บรรลุถึง มหคตกุศล คือ ญานจิต และ โลกุตรกุศล คือ มรรคจิต เท่านั้น ดังตัวอย่างเช่น ขโมย ทำการได้สำเร็จ เพราะเขาพยายามและใช้ปัญญาหาวิธีต่าง ๆ จนทำทุจริตนั้นได้ จัดว่าความเพียรและปัญญาของเขานั้นเป็นอธิบดี คือ เป็นหัวหน้าหรือผู้นำ แต่จะเรียกว่าเป็นอิทธิบาทไม่ได้ ขอให้เข้าใจว่าธรรมที่จะชื่อว่าอิทธิบาท ต้องเป็นไปในการให้สำเร็จฌานจิต และมรรคจิตเท่านั้น แม้แต่ฉันทะ วิริยะ จิตตะ และปัญญาของพระอรหันต์ ก็ไม่ชื่อว่าอิทธิบาท เพราะท่านเป็นผู้ที่สำเร็จอันสุดยอดแล้ว อนึ่งการที่สำเร็จกิจนั้น ย่อมประกอบด้วยธรรม ๔ ที่เป็นองค์ธรรมของอิทธิบาท แต่การเกิดขึ้นนั้น อาจจะไม่กล้าเสมอกัน บางทีฉันทะกล้า บางทีวิริยะกล้า หรือ จิตตะกล้า ปัญญากล้า ถ้าธรรมะใดกำลังกล้าก็จัดว่าธรรมนั้นเป็นอิทธิบาท
กองที่ ๔ อินทรีย์ ๕ ธรรมที่เป็นอินทรีย์นี้ หมายถึงธรรมที่เป็นใหญ่ที่เกิดร่วมกับคนจะเป็นได้ทั้งกุศล อกุศล แต่อินทรีย์ในโพธิปักขิยธรรมที่กำลังกล่าวถึงอยู่นี้ มีเพียง ๕ องค์ธรรมเท่านั้น และต้องเป็นไปตามสภาวธรรมที่เป็นกุศล คือรู้ให้ถึงฌานและอริยสัจเท่านั้น ได้แก่ สัทธินทรีย์
๑.สัทธินทรีย์ คือความศรัทธาเป็นใหญ่ในอารมณ์ จะต้องเป็นภาวนาศรัทธาด้วย ไม่ใช่ปกติศรัทธาด้วย ไม่ใช่ปกติศรัทธา ซึ่งมีกำลังไม่แรงกล้า เพราะอกุศลอาจทำให้เสื่อมได้ จึงต้องเป็นภาวนาศรัทธา ที่เนื่องมาจากกรรมฐานต่าง ๆ มีอานาปานสติ เป็นต้น ศรัทธาชนิดนี้แรงกล้าและแนบแน่นในจิตมาก เรียกภาวนาศรัทธาอกุศลจะทำให้ศรัทธาเสื่อมได้ยาก ยิ่งเป็นวิปัสสนาศรัทธาด้วยแล้ว อกุศลไม่อาจจะทำให้ศรัทธานั้นเสื่อมได้เลย ภาวนาศรัทธานี่แหละ ที่ได้ชื่อว่าสัทธินทรีย์ คือมีอินทรีย์แก่กล้าฉะนั้น
๒.วิริยินทรีย์ ความเพียรเป็นใหญ่ในการพยายามอย่างยิ่งยวด ซึ่งต้องเป็นความเพียรที่ต้องบริบูรณ์ด้วยองค์ ๔ แห่งสัมมัปปธาน จึงจะเรียกได้ว่า วิริยินทรีย์ในโพธิปักขิยธรรมนี้
๓.สตินทรีย์ สติที่ระลึกรู้ในอารมณ์ ทันอารมณ์ปัจจุบัน อันเกิดจากสติปัฏฐาน ๔ จึงเรียกสตินั้นว่า สตินทรีย์
๔.สมาธินทรีย์ การทำจิตให้เป็นสมาธิตั้งมั่น จดจ่ออยู่ในอารมณ์กรรมฐาน ไม่ฟุ้งซ่าน จึงจะเรียกสมาธินั้นว่า สมาธินทรีย์
๕.ปัญญินทรีย์ ปัญญาที่ทำหน้าที่เป็นใหญ่ ในสภาวะที่เกิดร่วม ด้วยการรู้แจ้งเห็นจริงว่า รูปนามขันธ์ อายตนะ ธาตุ มีลักษณะเป็นอนิจจัง เป็นทุกขัง เป็นอนัตตา เต็มไปด้วยโทษภัยเป็นวัฏฏทุกข์อนึ่ง ขอให้เข้าใจว่า ธรรมที่เป็นใหญ่ หรือ ที่เรียกว่าเป็นอินทรีย์ในโพธิปักขิยธรรมนั้น แสดงความเป็นใหญ่ในอันที่จะให้ถึงซึ่งควรตรัสรู้ มรรค ผล นิพพาน และมหคตกุศลจิต เท่านั้น
กองที่ ๕ พละ ๕ พละในโพธิปักขิยธรรม นั้น มุ่งหมายเอาเฉพาะกุศลพละเท่านั้น ซึ่งมีลักษณะอยู่ ๒ ประการ คือ อดทน ไม่หวั่นไหวประการหนึ่ง และย่ำยีธรรมที่เป็นข้าศึก อีกประการหนึ่ง ดังนั้น จึงมีเพียงพละ ๕ เท่านั้นคือ
๑.สัทธาพละ ความเชื่อถือเลื่อมใส เป็นกำลังให้อดทน ไม่หวั่นไหว และย่ำยีธรรมอันเป็นข้าศึก มีตัณหา เป็นต้น และต้องเป็นภาวนาศรัทธาที่เกิดจากอารมณ์กรรมฐาน ไม่ใช่ปกติศรัทธา จึงจะมีกำลังอดทน มีกำลังที่จะย่ำยีหรือตัดขาดตัณหาได้
๒.วิริยะพละ ความเพียรพยายาม ก็ต้องเป็นความเพียรอย่างยิ่งยวด จึงจะมีกำลังอดทน ย่ำยีโกสัชชะ คือ ความเกียจคร้าน อันจัดว่าเป็นข้าศึก แก่การปฏิบัติได้แน่นอน
๓.สติพละ สติมีความระลึกได้ในอารมณ์สติปัฏฐานต้องมีสภาพเป็นพละ จึงจะมีกำลังต้านทานข้าศึก อันได้แก่ ปมาทะ ความพลั้งเผลอได้
๔.สมาธิพละ ความตั้งใจมั่นจดจ่ออยู่ในอารมณ์กรรมฐาน จะเพียงเป็นใหญ่เป็นผู้ปกครองในสหภาวธรรมเท่านั้นยังไม่พอ ต้องมีกำลังเป็นพละ คือมีทั้งความอดทน ไม่หวั่นไหว สามารถต้านทานกิเลสอันเป็นข้าศึกของการปฏิบัติได้แก่ วิกเขปะ คือความฟุ้งซ่าน พาให้ออกนอกอารมณ์กรรมฐาน จัดว่าเป็นข้าศึกแก่การเจริญภาวนา
๕.ปัญญาพละ ต้องให้ปัญญานั้นมีกำลังอดทนเข้มแข็งในการที่จะย่ำยี โมหะ คือ ความโง่ หลง งมงาย มืดมน อนธการ เป็นต้น
ฉะนั้นการเจริญสมถภาวนา วิปัสสนาภาวนาก็ดี จะต้องให้พละทั้ง ๕ นี้ ต่างมีกำลังสม่ำเสมอกัน เพราะถ้าพละได้กำลังอ่อน การเจริญภาวนาก็ตั้งมั่นอยู่ไม่ได้
กองที่ ๖ โพชฌงค์ คำว่า โพชฌงค์ มีความหมายดังนี้ โพธิเป็นตัวรู้ โพชฌงค์เป็นส่วนที่ให้เกิดรู้ รวมความแล้วก็คือ องค์ที่เป็นเครื่องให้ตรัสรู้ คือรู้อริยสัจ ๔ สิ่งที่จะรู้อริยสัจ ๔ นั้นคือ มรรคจิต องค์ที่เป็นเครื่องให้รู้อริยสัจ ๔ ที่ชื่อว่าโพชฌงค์นี้มีอยู่ ๗ ประการ และโพชฌงค์แต่ละองค์ ต้องเนื่องมาจากเหตุผลที่ถูกต้องด้วยดังนี้
๑.สติสัมโพชฌงค์ ต้องเนื่องมาจากสติที่ระลึกรู้ในอารมณ์ของสติปัฏฐาน ๔ ไม่ใช่สติที่ปกติระลึกรู้ในอารมณ์ทั่วไป สตินั้นจะต้องเลื่อนฐานะกำลังขึ้นเป็น อินทรีย์ และ พละ แล้วสตินั้นจึงจะเลื่อนมาเป็น โพชฌงค์ เป็นสัมมาสติด้วยอำนาจของวิปัสสนาภาวนา จึงจะทำลายความประมาทได้สติอย่างนี้แหละที่เรียกว่า สติสัมโพชฌงค์ มีความสามารถทำให้เกิดมรรคฌานได้ มีหวังแน่นอนในการที่จะรู้อริยสัจ ๔ สามารถที่จะได้ชื่อว่าเป็นอริยบุคคล ๘ จำพวกได้ ขอให้เข้าใจว่า สติเจตสิกที่จะเป็นโพชฌงค์ ขอให้เข้าใจว่า สติเจตสิกที่จะเป็นโพชฌงค์นั้น ต้องบริบูรณ์ทุกอย่าง บริบูรณ์ด้วยเหตุ ๔ ประการคือ
๑.๑ ต้องมีสติสัมปชัญญะ ในมหาสิตปัฏฐาน ๔ อารมณ์ต้องมาจากสติปัฏฐาน มีสติรู้ในสัมปชัญญะในสติปัฏฐาน ๔
๑.๒ ต้องเว้นจากการสมาคมจากผู้ที่ไม่ได้เจริญสติปัฏฐาน
๑.๓ ต้องเสวนากับผู้ที่เคยเจริญสติปัฏฐานอย่างถูกต้อง และเข้าใจดีด้วย
๑.๔ ต้องพยายามเจริญสติให้รู้อยู่ทุกอารมณ์และทุกอิริยาบถไม่ขาด
ทั้ง ๔ อย่างนี้จะเป็นเหตุช่วยให้ สติสัมโพชฌงค์เกิดขึ้น เพราะถ้าประกอบด้วยเหตุ ๔ ประการนี้แล้ว สติสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด ก็อาจจะเกิดขึ้นได้โดยไม่ลำบากจะเห็นได้ชัดเจนว่า สติสัมโพชฌงค์นี้ ต้องเนื่องมาจากการเจริญวิปัสสนา ไม่ใช่มาจากอย่างอื่น เพียงแต่รักษาศีลหรือเจริญสมาธิเท่านั้นก็ไม่อาจเกิดได้ ต้องเจริญวิปัสสนาในมหาสติปัฏฐาน ๔ ด้วย
๒.ธัมมวิจยะสัมโพชฌงค์ โพชฌงค์นี้ ได้แก่ ปัญญาที่รู้สภาวะของรูปธรรมนามธรรมว่า เป็นอนิจจัง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา คือไม่ใช่ตัวตนที่จะบังคับบัญชาได้ เป็นไปเพื่อความรู้ยิ่งเพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพานฉะนั้นปัญญาที่จะเข้าถึงความเป็นธัมมะวิจยะสัมโพชฌงค์นี้ ไม่ใช่ปัญญาธรรมดาที่รู้อย่างอื่นต้องเป็นปัญญาที่เกิดจากการเจริญสติปัฏฐาน และปัญญานี้จะต้องต่อเนื่องจากอิทธิบาท อินทรีย์และพละด้วยฉะนั้นขอให้ทำความเข้าใจด้วยว่า ธัมมวิจยะสัมโพชฌงค์ ต้องสมบูรณ์ด้วยเหตุ ๔ ประการดังนี้
๒.๑ ต้องเข้าใจวิปัสสนาภูมิ ๖ คือ ขันธ์ อายตนะ ธาตุ อินทรีย์ ปฏิจจสมุปบาท อริยสัจ แต่เมื่อสรุปโดยย่อแล้ว ก็ได้แก่รูปธรรมนามธรรมฉะนั้นเมื่อเราพิจารณารูปนาม ก็ชื่อว่าเราพิจารณาวิปัสสนาภูมิ ๖ แต่ผู้ที่ขาดการศึกษา ก็ไม่สามารถที่จะรู้และเข้าใจแตกฉานในภูมิของวิปัสสนา สำหรับผู้ที่เคยเรียนรู้ปริยัติมาบ้างแล้ว ก็สามารถที่จะเลือกพิจารณาภูมิใดภูมิหนึ่งตามความพอใจ วิปัสสนาภูมิหนึ่งตามความพอใจ วิปัสสนาภูมินี้แหละเป็นอารมณ์ของปัญญาที่จะทำให้ธัมมวิจยะสัมโพชฌงค์เกิดขึ้น
๒.๒ ต้องทำอินทรีย์ให้สม่ำเสมอ คือปัญญากับศรัทธาต้องมีกำลังเสมอกันเมื่อพิจารณา เพราะถ้าศรัทธามากเกินไป ก็จะขาดเหตุผล ถ้าปัญญามากเกินไปแม้จะรู้จะเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เมื่ออ่อนศรัทธา ไม่เลื่อมใสแล้วก็ไม่อาจบรรลุธรรมได้วิริยะกับสมาธิก็เช่นเดียวกัน จำเป็นต้องให้เสมอกัน ถ้าอย่างใดอ่อนหรือแรงเกินไป ก็จะไม่ทำให้ธัมมวิจยะสัมโพชฌงค์เกิดได้เช่นเดียวกัน เพราะถ้าสมาธิมากเกินไปจะเกิดความสงบ ก็จะเพลิดเพลินพอใจความสงบนั้นเสีย ฉะนั้นต้องอาศัยความเข้าใจทำอินทรีย์ให้เสมอกันถ้าศรัทธาสมาธิแรง ก็จะให้ตัณหาความพอใจเกิด และถ้าปัญญามากไปก็จะเกิดวิจิกิจฉาความลังเลสงสัย ทำให้ฟุ้งซ่าน สงสัยไปว่าทำไมจึงเป็นอย่างนั้น ควรจะเป็นอย่างนี้ ทำให้คิดค้นมากเกินไป หรือถ้าปริยัติเข้ามามากเกินไป ปัจจุบันอารมณ์จะพลอยเสียไปด้วย เพราะอาจจะนึกรู้ไปก่อน เป็นวิปัสสนึก จะทำให้ไม่สามารถเข้าถึงโพชฌงค์นี้ได้วิริยะถ้ามากนักก็จะฟุ้งซ่าน ส่วนสมาธิมากก็จะมีอาการคล้ายซึมเซ่อ ซึมเซอะ และเอาแต่ความสงบ จะทำให้ขาดการขวนขวายในธรรมส่วนสตินั้นมีมากเท่าใด รู้ทันอารมณ์ทุกขณะก็ยิ่งดีมาก เพราะฉะนั้นสตินี้ทำให้มากเข้าไว้ จะรู้เท่าทันเหตุการณ์ได้ ไม่เหมือนอย่างอื่น
๒.๓ ต้องสมาคมกับผู้ที่เจริญวิปัสสนา เข้าใจสภาวะของรูปนาม เป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ต่อกัน
๒.๔ ต้องมีสติรู้ทันอารมณ์ทุกอิริยาบถ เพราะปัญญาที่เข้าในโพชฌงค์นี้ ต้องพิจารณาเข้ากับความเกิดดับของรูปนาม สภาวะลักษณะของรูปนาม มิฉะนั้นก็เข้าถึงโพชฌงค์นี้ไม่ได้แน่นอน
๓.วิริยะสัมโพชฌงค์ ได้แก่ ความเพียรพยายามในกิจของสัมมัปปธาน ๔ นั่นเอง แต่การที่วิริยะจะขยับเลื่อนขึ้นมาเป็นโพชฌงค์ จะต้องอาศัยเป็นเหตุปัจจัยซึ่งกันและกัน ขอให้เข้าใจว่า วิริยะจะเป็นองค์ของโพชฌงค์ได้ก็ต้องสมบูรณ์ด้วยเช่นกัน ต้องรู้และมั่นใจในอานิสงส์ของความเพียรว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรารถนา ต้องอาศัยความเพียรพยายามไม่ท้อถอย ต้องอดทน ถ้าไม่มีความเพียรแล้วความสำเร็จจะมีไม่ได้เลย คบหาสมาคมกับคนที่ขยันหมั่นเพียร หลีกเลี่ยงบุคคลที่เหลาะแหละเกียจคร้าน มั่นใจในสติปัฏฐานสี่นี้เท่านั้น เป็นทางที่พระอริยเจ้าทั้งหลายล้วนปฏิบัติมาแล้วทั้งสิ้น ท่านจึงผ่านเข้าถึงความเป็นอริยบุคคลด้วย
๔.ปีติสัมโพชฌงค์ ปีติและความอิ่มเอิบใจนี้ มีได้ทั้งสมถะและวิปัสสนา ถ้าปีติในสมถะก็ได้แก่ปีติที่เป็นองค์ฌาน ส่วนปีติในวิปัสสนาก็คือ ความอิ่มใจในการเจริญวิปัสสนา ผู้ที่เจริญสติปัฏฐาน เมื่อมีสติรู้ทันอารมณ์ มีปัญญาเข้าใจสภาวะ เห็นสภาพไตรลักษณ์ของรูปนาม รู้สึกตัวมีความเพียรอย่างจริงจัง ไม่ย่อท้อย่อมเกิดปีติชื่นชมเป็นธรรมดา ปีติในวิปัสสนาย่อมทำลายความเฉื่อยชา เบื่อหน่ายได้ การระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ การระลึกถึงคุณของการบริจาค ตลอดจนคุณของพระนิพพาน ก็เป็นเหตุให้ปีติเกิดได้ การละเว้นที่จะคบหาผู้ที่ปราศจากศรัทธาหมั่นเจริญสติปัฏฐาน หากได้ปฏิบัติบริบูรณ์ด้วยคุณธรรมที่กล่าวมานี้แล้ว ปีติสัมโพชฌงค์ย่อมเกิดได้
๕.ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ มีลักษณะทำให้จิตใจสงบเยือกเย็นรู้สึกสบายใจ ความสงบประณีตของปัสสัทธินี้ อาจถึงทำให้เข้าใจผิด สำคัญว่าความสงบสบายนั้น คือเข้าถึงพระนิพพานขึ้น แล้ว กลายเป็นวิปัสนูปกิเลส คือ กิเลสของพระนิพพานไปปัสสัทธิที่เกิดไม่ใช่ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ แม้จะเกิดในวิปัสสนาก็ตาม ปัสสัทธิที่จะเป็นองค์ของโพชฌงค์ ต้องเป็นไปตามอารมณ์ที่ประกอบด้วยไตรลักษณ์ฉะนั้น ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ จะเกิดได้ ต้องบริบูรณ์ด้วยเหตุดังต่อไปนี้
๕.๑ บริโภคอาหารให้สมควรทั้งปริมาณและคุณภาพ
๕.๒ อยู่ในที่ที่มีอากาศพอเหมาะพอสบาย
๕.๓ ใช้อิริยาบถที่สะดวกสบาย ไม่ต้องฝืนจนเกินไป
๕.๔ พิจารณาเชื่อว่ากรรมดี นั่นแหละเป็นที่พึ่งของตน
๕.๕ เว้นการสมาคมกับบุคคลทุศีล
๕.๖ สมาคมกับผู้มีศีล มีกาย วาจาสงบไม่เพ้อเจ้อ
๕.๗ ต้องมีสติสัมปชัญญะอยู่ทุกอารมณ์จิต ทุกอิริยาบถผู้ที่สมบูรณ์ด้วยธรรม ๗ ประการนี้ จะทำให้ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์เกิดขึ้น ความจริงแล้ว ปัสสัทธินี้ก็ไม่ได้มาจากไหน ได้มาจากปีตินั่นเอง กล่าวคือ เป็นปีติแล้ว ปัสสัทธิต้องมีด้วย เมื่อปีติยังมีกำลังกล้าอยู่ แสดงว่ายังอิ่มเอิบตื่นเต้นอยู่มาก จึงยังไม่เห็นอาการของปัสสัทธิ เมื่อปีติสงบลงบ้างแล้ว ปัสสัทธิจะปรากฏอาการ ความสงบสบายจะปรากฏชัดขึ้น เป็นเหตุเป็นปัจจัยของกันและกันดังนี้
๖.สมาธิสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์นี้มีทั้งสมถะและวิปัสสนาเหมือนกัน เพราะผู้ที่ได้ฌานแล้ว จะยกองค์ฌานขึ้นพิจารณาวิปัสสนาได้ สมาธินั้นก็จะเป็นอารมณ์ของวิปัสสนา สมาธิในฌานนั้นเป็นอัปปนาสมาธิ เหตุที่จะเกิดสมาธิสัมโพชฌงค์ จะต้องบริบูรณ์ด้วยเหตุดังนี้
๖.๑ ต้องรักษาความสะอาดในปัจจัยสี่ มีอาหารเป็นต้น
๖.๒ ต้องเจริญศรัทธากับปัญญา วิริยะกับสมาธิให้เสมอกัน อย่าให้มากน้อยกว่ากัน
๖.๓ ต้องเข้าใจรักษานิมิตของสมถกรรมฐาน และอารมณ์ของวิปัสสนากรรมฐาน กำหนดเสีย ต้องเข้าใจยกจิตให้แก่กล้าขึ้น
๖.๔ ถ้าวิริยะอ่อนก็ต้องมีปัญญา ต้องมนสิการ ให้วิริยะแก่กล้าขึ้นเสมอกับสมาธิ (ปีติจะต้องช่วยวิริยะให้มีกำลังขึ้น)
๖.๕ ถ้ามีวิริยะอ่อนลง สมาธิอ่อนลง ความฟุ้งซ่านจะมีมากขึ้น ในบุคคลนั้น อันความฟุ้งซ่านเป็นกิเลสเป็นเหตุให้เกิดนิวรณ์ ต้องปรับจิตให้อยู่ในปัจจุบันอารมณ์ ถ้าไม่ปรับจิตให้อยู่ในปัจจุบัน อารมณ์มีนิวรณ์ ขณะใดที่ได้อารมณ์ปัจจุบัน ความฟุ้งซ่านหรือนิวรณ์จะเกิดไม่ได้เลย เหตุที่เกิดความฟุ้งซ่านก็เพราะ สติรับปัจจุบันอ่อนหรือน้อยไป จะต้องพยายามให้จิตอยู่ในปัจจุบันอารมณ์เสมอ ความฟุ้งซ่านก็จะหมดลงไปเอง โดยดับไป จะใช้วิธีบังคับอื่นใดไม่ได้เลย เพราะทุกอย่างย่อมเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่ใช่ที่อยากหรือต้องการให้เป็นไป
๖.๖ ทำใจให้ยินดีในความไม่ประมาท มีสติอยู่ตลอดเวลา คือ ตัวกำหนดทุกอย่าง อย่าขาดกำหนด ต้องเจริญพระกรรมฐานให้ถูกกับจริต ต้องปราศจากปลิโพธกังวล อันเป็นความกังวลในใจเสีย เว้นจากการคบหาสมาคมกับบุคคลช่างพูด ช่างเจรจา ต้องเว้นไป อย่าไปคบหาบุคคลที่ช่างพูด ช่างเจรจา ชอบคุย ออกสมาคมกับผู้ที่รักษาความสงบระงับ สำหรับผู้ที่เจริญฌานก่อนจะยกองค์ฌานขึ้นสู่อารมณ์วิปัสสนา จะต้องมีวสีชำนาญในองค์ฌานมาก่อน จึงจะยกอารมณ์เข้าสู่วิปัสสนาได้ ไม่ใช่ว่าพอได้ฌานแล้วก็ยกขึ้นสู่อารมณ์วิปัสสนาได้เลย ต้องมีสติสัมปชัญญะ ต้องรู้สึกทันทุกอารมณ์ทันปัจจุบันทุกอิริยาบถด้วย เมื่อบริบูรณ์ด้วยอุปการธรรมอย่างนี้แล้ว สมาธิสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิดก็จะเกิด
๗.อุเบกขาสัมโพชฌงค์ มีลักษณะวางใจให้เป็นกลาง เชื่อมั่นต่อกรรม เชื่อว่าทุกอย่างย่อมเป็นไปตามผลของกรรม ที่ว่าวางใจให้เป็นกลางนั้น คือ ไม่ยินดีต่อความสุข ไม่เดือดร้อนต่อความทุกข์ที่มีต่อตน เพราะเชื่อว่าสัตว์ทั้งหลายย่อมเป็นไปตามอำนาจของกรรม ไม่มีผู้จะแก้ไขกรรมที่ทำมาแล้วได้ ทำใจไม่ยินดี ยินร้ายในอารมณ์ที่ตนประสบ ในเวลาที่ตนเจริญพระกรรมฐาน ธรรมที่ช่วยอุปการะอุเบกขาสัมโพชฌงค์มีดังต่อไปนี้
๗.๑ ต้องพิจารณาให้รู้และเข้าใจว่า สภาวะที่เป็นอยู่นี้ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เป็นแต่เพียงรูปนามเท่านั้น
๗.๒ ตั้งจิตใจเป็นกลางในสังขารว่า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่เป็นอนิจจัง เป็นทุกขัง เป็นอนัตตา ไม่เสียใจเมื่อจะต้องมีการสูญเสีย
๗.๓ เว้นจากการคบหาสมาคมกับบุคคลที่ยังยึดมั่นเหนียวแน่นในสมมุติ ในสัตว์บุคคล ว่าเป็นของเรา ของเขา
๗.๔ สมาคมคบหากับบุคคลที่เข้าใจสังขาร รู้จักสภาวธรรม
๗.๕ มีสติสัมปชัญญะทุกอารมณ์ น้อมใจให้มั่นคง วางใจให้เป็นกลาง ๆ
อุเบกขาสัมโพชฌงค์นี้ จัดว่าเป็นองค์สำคัญองค์หนึ่งของโพชฌงค์ คล้ายกับว่าปล่อยวางได้แล้ว ปัญญาพอที่จะตรัสรู้ในอริยสัจได้ความสำคัญของโพชฌงค์เจาะจงที่ วิปัสสนาไม่ใช่สมาธิ ที่เอาสมถะมาสงเคราะห์ไว้กับโพชฌงค์ด้วยก็มุ่งหมายถึงผู้ที่เจริญสมถกรรมฐานปรารถนาจะยกองค์ฌานขึ้นสู่อารมณ์วิปัสสนาเพราะฉะนั้นสมถะที่กล่าวว่าเป็นองค์โพชฌงค์ได้หมายเอาสมถะที่สงเคราะหเป็นอารมณ์ของวิปัสสนาได้ ทั้งนี้เพราะการที่จะเป็นโพชฌงค์ ต้องมาจากการเจริญสติปัฏฐาน ๔ เท่านั้น เพราะโพชฌงค์ในโพธิปักขิยธรรม ก็คือธรรมในธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หากแต่กำลังและการงานของสภาวธรรมนั้น มีกำลังแก่กล้าขึ้นตามลำดับของภูมิธรรม บางท่านอาจคิดว่าตนเองปฏิบัติ เจริญสติปัฏฐานมานานแล้ว และได้อารมณ์ดีด้วย เหตุใดจึงยังไม่บรรลุมรรคผล ขอให้เข้าใจเถิดว่า เพราะองค์ธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งเช่น สติ ปัญญา วิริยะ ศรัทธา สมาธิ เป็นต้น ยังไม่บรรลุถึงความเป็นโพชฌงค์ อันเป็นองค์ที่ตรัสรู้ ฉะนั้นจะต้องสำรวจอารมณ์ของตนว่า อันใดยังบกพร่องจะต้องพยายามทำให้สมบูรณ์ขึ้น จำเป็นจะต้องรู้ถึงอย่างนี้ เพราะฉะนั้นจงอย่าท้อถอย ให้เข้าใจเถิดว่า การที่จะบรรลุมรรคผล รู้แจ้งในอริยสัจ ๔ นั้น มิใช่ของที่จะทำได้ง่ายเลย จะต้องเข้าใจเหตุและผลอย่างละเอียดรอบคอบ มีทางเดียวคือเจริญสติปัฏฐาน ๔
กองที่ ๗ มรรคมีองค์ ๘ มรรคที่จัดไว้ในหมวดโพธิปักขิยธรรมนี้กล่าวเฉพาะมรรคที่เป็นทางชอบแต่อย่างเดียว จึงมีเพียง ๘ มรรค เรียกว่า อัฏฐังคิกมรรค มรรคมีองค์ ๘ ได้แก่
๑.สัมมาทิฏฐิ มีความเห็นชอบด้วยการเห็นว่า ร่างกายหรือสังขารที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมานี้ ไม่มีสาระแก่นสาร เป็นเพียงธรรมชาติรูปกับนามเท่านั้น รูปกับนามนี้ยังเป็นสภาพอนิจจัง คือไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ทุกขัง เพราะความเปลี่ยนแปลงไม่คงที่ จึงทำให้เป็นทุกขังและยังเป็นอนัตตา คือไม่มีตัวตนที่บังคับบัญชาได้ จะมีสภาพเป็นไปตามเหตุปัจจัย หมดเหตุปัจจัยก็หมดไปเองด้วย ไม่เป็นไปตามความต้องการของผู้ใดทั้งสิ้น
๒.สัมมาสังกัปปะ คือ การคิดดำริแต่สิ่งที่ชอบไม่ออกนอกลู่นอกทาง จะกล่าวว่าเป็นความดำริที่สนับสนุนความเห็นชอบ คือสัมมาทิฏฐิก็ได้ เพราะความดำรินั้น คือ คิดแต่ทางที่จะให้พ้นจากวัฏฏทุกข์เท่า
๓.สัมมาวาจา คือ พูดจาแต่ในสิ่งที่ชอบ หมายถึงการสำรวมระวังในการพูด ไม่ให้ผิดได้แก่ ไม่พูดเท็จ ไม่พูดจาหยาบคายไม่พูดส่อเสียด และไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล ขอให้สังเกตด้วยว่า การปฏิบัติตามมรรค ๘ นี้ต้องรักษาศีลมากกว่าผู้ที่สมาทานศีลธรรมดา เพราะต้องเว้นจากการกระทำที่เกี่ยวกับทางกายวาจาแม้แต่การเลี้ยงชีพที่ไม่ดี ไม่ถูกต้องทุกอย่าง เช่นการพูดเท็จ จะต้องไม่มีการหยอกล้อ หรือหลอกลวงผู้อื่นด้วยวาจา เว้นจากการพูดหยาบทุกชนิด แม้ว่าจะเป็นการด่าประชด กระทบกระแทกเปรียบเปรยก็ตาม ไม่พูดส่อเสียด อย่าพูดใส่ร้าย หรือยุยงให้แตกแยกกัน และเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ คือพูดพล่อย ๆ ไม่เป็นสาระ แม้จะเป็นการพูดสนุก ขบขัน ก็ควรเว้น รวมทั้งการพูดทำนองโอ้อวดคุณวิเศษของตนเองด้วย
๔.สัมมากัมมันตะ การทำงานนี้หมายถึงงานทั่วไปที่จะพึงกระทำ ต้องกระทำด้วยการมีสติรู้ตัวอยู่เสมอ เว้นจากทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน แม้ว่าการกระทำนั้นจะเป็นเพียงเพื่อความสนุกสนานชั่วครั้งชั่วคราวก็ตาม มรรคมีองค์ ๘ นี้ ต้องละเว้น
๕.สัมมาอาชีวะ ท่านกำหนดไว้ว่า เลิกจากการหาเลี้ยงชีพในทางที่ผิด ที่เป็นมิจฉาชีพ อาชีพที่ทำให้เดือดร้อนผู้อื่น ตัวอย่างเช่น ฆ่าสัตว์ขาย ทำของปลอมปน เป็นต้น ถ้าเป็นบรรพชิตก็เว้นจากการตั้งตนเป็นอาจารย์ผู้วิเศษ ใบ้หวย และกิจกรรมอื่นนอกรีดนอกรอยของบรรพชิตที่ไม่ควรทำ
๖.สัมมาวายมะ คือ มีความเพียรพยายามในทางที่จะให้พ้นทุกข์ หรือตามหลักของสัมมัปปธาน ๔
๗.สัมมาสติ การระลึกชอบ ตรงกับสติปัฏฐาน ๔ นั่นเอง ที่ว่าระลึกในที่นี้ คือ การพิจารณาเนื่อง ๆ ใน ๔ อย่างต่อไปนี้
๗.๑ พิจารณาเห็นกายในกาย
๗.๒ พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา
๗.๓ พิจารณาเห็นจิตในจิต
๗.๔ พิจารณาเห็นธรรมในธรรมจะไม่อธิบายซ้ำอีก เพราะได้อธิบายไว้แล้วในหมวดสติปัฏฐาน ๔
๘.สัมมาสมาธิ คือ การตั้งใจแน่วแน่ในการเจริญสติปัฏฐาน เพื่อบรรลุถึงมรรคและนิพพาน บางท่านเจริญฌาน เมื่อได้ฌานแล้ว จึงยกเอาองค์ฌานขึ้นสู่อารมณ์ของวิปัสสนา จะเห็นได้ว่า มรรคมีองค์ ๘ นี้ มีพร้อมทั้ง ศีล สมาธิ ปัญญา การปฏิบัติต้องอาศัยการเกี่ยวเนื่องกันอย่างพรั่งพร้อม จึงจะสำเร็จกิจ จึงจะประหารกิเลสได้ในมรรคมีองค์ ๘ นี้ ท่านแสดงสัมมาทิฏฐิมรรค คือ คามเห็นที่ถูกต้อง อันได้แก่ปัญญาไว้ก่อน เพราะเป็นองค์ที่มีอุปการคุณอย่างดียิ่ง การที่จะสำเร็จมรรคผล เห็นแจ้งในอริยสัจ ๔ นั้น จะขาดปัญญาหรือแม้แต่กำลังของปัญญาอ่อนยิ่งหย่อนไปไม่ได้เลย ท่านอธิบายไว้ว่า เมื่อมีปัญญาชอบแล้วก็ย่อมจะคิดชอบ เมื่อคิดชอบแล้วก็จะพูดชอบ เจรจาชอบ มันเป็นการชอบไปหมด ดังนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นท่านสาธุชน โปรดได้รับทราบไว้ดังที่กล่าวนี้ เมื่อพูดชอบแล้วก็ย่อมทำชอบ เป็นผู้ทำการงานขอบก็ย่อมมีความเป็นอยู่เลี้ยงชีพชอบไปด้วย เมื่อมีอาชีพชอบ ที่มั่นคงก็ย่อมมีความเพียร ความพยายามที่จะดำรงชีพนั้น เมื่อมีความพากเพียรที่ชอบ ก็ย่อมมีการระลึกนึกแต่ในทางที่ชอบ ที่ถูกต้อง เมื่อมีสติระลึกชอบแล้ว ก็ย่อมมีความตั้งใจแต่ในสิ่งที่ชอบที่ควรกระทำ อันมรรคมีองค์ ๘ นี้ มีทั้งที่เป็นโลกียะ และโลกุตระ จะแตกต่างกันบ้างก็คือ ถ้าเป็นโลกียะ จะไม่พร้อมกันทั้ง ๘ มรรค แต่ถ้าเป็นโลกุตระ แล้วต้องพร้อมกันทั้งองค์ ๘ เป็นมัคคสมังคี ต้องประกอบพร้อมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เรียกว่า พร้อมทั้งศีล สมาธิ ปัญญา คือ ไตรสิกขา ๓ มรรคที่เป็นโลกียะ มีอารมณ์อย่างอื่นได้ แต่มรรคที่เป็นโลกุตระ จะต้องมีอารมณ์เป็นนิพพานอย่างเดียวเท่านั้น โดยเฉพาะศีลในโลกียะนั้น เพียงเว้นสิ่งอันพึงเว้นที่มาปรากฏเฉพาะหน้า แต่โลกุตระไม่ต้องมีวัตถุเว้น เพราะ วีรตีเจตสิก หรือศีลที่เป็นโลกุตระนั้น เป็นองค์มรรคมีหน้าที่ประหารกิเลส ไม่ใช่มีหน้าที่เพียงละเว้นการงานทุจริต เพราะหน้าที่หรือกิจการของมรรค ประหารกิเลสได้เป็นสมุทเฉท คือ เด็ดขาด แต่มรรคในโลกียะเพียงข่มไว้ได้ชั่วคราวเวลาเจริญฌาน เรียกว่า วิขัมภนประหาร หรือเพียง ตทังคประหาร ขอให้เข้าใจว่าสติปัฏฐาน ๔ และอัฏฐังคิกมรรคในโพธิปักขิยธรรม สติปัฏฐาน ๔ อันเป็นธรรมหมวดแรกนั้น ทำหน้าที่เพื่อให้แจ้งพระนิพพาน แต่มรรคมีองค์ ๘ อันเป็นหมวดสุดท้าย ก็เป็นไปเพื่อให้แจ้งพระนิพพาน ฉะนั้นการที่จะบรรลุมรรคผลนิพพาน ต้องดำเนินไปตามทางสายกลาง คือ มัชฌิมาปฏิปทา อันมีสติปัฏฐาน ๔ และมรรคมีองค์ ๘ เป็นจุดเริ่มต้น และจุดที่จะให้สำเร็จ แต่ในขณะที่บรรลุแจ้งพระนิพพานนั้น โพธิปักขิยธรรมต้องประกอบ หมายถึงทำหน้าที่พร้อมเพรียงกัน ขอกล่าวย้ำเกี่ยวกับการปฏิบัติวิปัสสนาธุระนี้ เป็นสิ่งสำคัญข้อหนึ่งของสัทธรรม ๓ เพราะนอกจากจะเรียนรู้ปริยัติสัทธรรมแล้ว ก็ต้องเจริญสัทธรรมข้อ ๒ อันได้แก่ ปฏิบัติสัทธรรม ถ้าปรารถนาจะให้หลุดพ้นจากวัฏฏทุกข์ ก็มีทางเดียว คือ เจริญวิปัสสนา มีสติปัฏฐานและมรรคที่องค์ ๘ เป็นทางเดิน จึงจะสามารถึงสัทธรรมข้อ ๓ คือ ปฏิเวชสัทธรรม อันนำมาซึ่งสันติสุขอันถาวร พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญการปฏิบัตินี้ว่า เป็นการบูชาอย่างเยี่ยมยอด แนวทางวิปัสสนานี้ ถือเอารูปธรรม นามธรรม เป็นกรรมฐาน เอารูปนามเป็นอารมณ์ เอารูปนามเป็นทางเดิน โดยมีสติเป็นผู้เพ่ง ปัญญาเป็นผู้รู้ เพื่อให้แจ้งแทงตลอดในสภาวธรรม ที่หลงยึดมั่นถือมั่นว่ามีสภาพความเป็นจริงอย่างไร และละโมหะที่ทำให้หลงงมงายออกเสียได้
พระพุทธเจ้าทรงตรัสเตือนผู้ปรารถนาจะบำเพ็ญวิปัสสนาธุระอย่างถูกต้อง และได้ผลสมความปรารถนา สรุปได้ดังนี้
๑. ต้องมีผู้แนะนำสั่งสอน คือ มีกัลยาณมิตร
๒.มีที่ปฏิบัติที่สงบสงัดเป็นสัปปายะ
๓.ต้องมีธรรมคือ ความตั้งใจจริง ความไม่ประมาท และปัญญา
๔.ไม่มีปลิโพธ คือ ความไม่กังวล ห่วงใยใด ๆ ทั้งสิ้น
ฉะนั้นผู้ที่จะปฏิบัติ ควรจะประกอบองค์คุณธรรม คือ มีความเลื่อมใส ศรัทธาจริง ไม่มีหนี้สินที่จะทำให้ห่วงกังวล ไม่มีโรคร้ายแรง โรคติดต่อ ไม่เป็นโรคจิต ไม่เป็นโรคประสาท พร้อมที่จะทำความเพียรได้ และควรเป็นบุคคลที่มีระเบียบ แบบแผนพร้อมที่จะปฏิบัติตามระเบียบกติกา ของสำนักวิปัสสนากรรมฐานทุกประการของความสุขสวัสดีจงมีแก่สาธุชนทุกท่านเทอญ
-----------------------------------------------------------------
โพธิปักขิยธรรมธรรมบรรยายของพระราชสุทธิญานมงคล(หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม) ๕ ธันวาคม ๒๕๓๒

วันอังคารที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2553

การปล่อยวาง โดย หลวงปู่ชา สุภัทโท

การที่เราอยู่ร่วมกันรี้จะต้องมีระเบียบ ระเบียบเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับคนหมู่มาก ไม่ใช่จำเป็นเฉพาะบุคคลเท่านั้น อยู่คนเดียวก็ต้องมีระเบียบอย่างพระวินัย พระวินัยสมัยก่อนนี้มีนิดเดียวพระสงฆ์ที่มาบวชในพระพุทธศาสนามีมากขึ้นต่างคนต่างจะทำอะไร ก็มีหลายเรื่อง บางคนอยากจะทำอย่างนั้น บางคนอยากจะทำอย่างนี้ ก็มีกันมาเรื่อยๆ เป็นเหตุให้พระพุทธเจ้าของเราตั้งข้อกติกา คือพระวินัยขึ้นมา เพื่อเป็นข้อปฏิบัติอยู่ไปนานๆ ก็มีตนบางคนก็ทำเรื่องมาอีกหลายอย่าง ดังนั้นพระวินัยจึงไม่มีทางจบสิ้น หลายล้านสิกขาบท แต่ก็ไม่จบ พระวินัยไม่มีทางจบสิ้น แต่ถ้าพูดถึงเรื่องธรรม เรื่องธรรมะนี่มีทางจบ ก็คือ “การปล่อยวาง” เรื่องพระวินัยก็คือเอาเหตุผลกัน ถ้าเอาเหตุผลกันแล้วไม่จบหรอก สมัยหนึ่งอาตมาไปบริหารพระ 3-4 องค์ไปอยู่ในป่า ไฟไม่ค่อยจะมี เพราะอยู่บ้านป่า องค์หนึ่งก็ได้หนังสือธรรมะมาอ่าน อ่านอยู่ที่หน้าพระประธานที่ทำวัตรกัน อ่านอยู่ก็ทิ้งตรงนั้นแล้วก็หนีไป ไฟไม่มี มันก็มืด พระองค์ที่มาทีหลังก็มาเหยียบหนังสือ จับหนังสือขึ้นมาก็โวยวายขึ้นว่า “พระองค์ไหนนี่ไม่มีสติ ทำไมไม่รู้จักที่เก็บหนังสือ” สอบสวนถามไปถึงพระองค์นั้น พระองค์นั้นก็รับปากว่า “ผมเอาหนังสือเล่มนี้ไว้ที่นี่” “ทำไมท่านไม่รู้จักเก็บหนังสือ ผมเดินมา ผมเหยียบหนังสือเล่นนี้” “โอ...อันนั้นเป็นเพราะท่านไม่สำรวมต่างหากเล่า” เห็นไหมมันมีเหตุผลอย่างนั้น จึงเถียงกัน องค์นั้นบอกว่า “เพราะท่านไม่เอาไปไว้ในที่เก็บ ท่านไม่รู้จักเก็บหนังสือ ท่านจึงไว้อย่างนี้” องค์นี้บอกว่า “เป็นเพราะท่านไม่สำรวม ถ้าท่านสำรวมแล้ว คงไม่เดินเหยียบหนังสือเล่มนี้” มีเหตุผลว่าอย่างนั้น มันก็เกิดเรื่องทะเลาะกัน ทะเลาะกันไม่จบด้วยเรื่องเหตุผล เรื่องธรรมะที่แท้จริงนั้น ต้องทิ้งเหตุทิ้งผล คือ ธรรมะมันสูงกว่านั้น ธรรมะที่พระพุทธองค์ท่านตรัสรู้ ระงับกิเลสทั้งหลายได้นั้น มันอยู่นอกเหตุเหนือผลไม่อยู่ในเหตุอยู่เหนือผล ทุกข์มันไม่มี สุขมันจึงไม่มี ธรรมนั้นท่านเรียกว่าระงับ ระงับเหตุระงับผล ถ้าพวกใช้เหตุผลอยู่อย่างนี้ เถียงกันตลอดจนตาย เหมือนพระสององค์นั้น ธรรมที่พระพุทธองค์ท่านตรัสรู้ ต้องอยู่นอกเหตุเหนือผล นอกสุขเหนือทุกข์ นอกเกิดเหนือตาย ธรรมนี้เป็นธรรมที่ระงับ คนเราก็มาสงสัยอยู่นี่แหละ ผู้ชายยิ่งสงสัยมาก ความสงสัยนี่ตัวสำคัญ มีเหตุผลอย่างนั้นอย่างนี้ มันจะตายอยู่แล้ว มันไม่ใช่ธรรมของพระพุทธองค์ ธรรมนั้นเป็นข้อปฏิบัติ เป็นทางเดิน เดินไปเท่านั้น ถ้ามัวคิดว่าเมื่อไปถึงนี้ ฉันนี้สุขเหลือเกิน ไม่ได้ ฉันนี้ทุกข์เหลือเกิน ไม่ได้ แต่ถ้าฉันไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ นี่คือมันระงับแล้วสงสัยไม่มี ตรงโน้นมันจะมีอยู่ที่ตรงไหน มันก็อยู่ตรงที่ปฏิบัติไปเรื่อยๆ สุขเกิดขึ้นมา ทุกข์เกิดขึ้นมา เรารู้มันทั้งสองอย่างนี้ สุขนี้ก็สักว่าสุข ทุกข์เกิดขึ้นมาเรารู้มันทั้งสองอย่างนี้ สุขนี้ก็สักว่าสุข ทุกข์นี้ก็สักว่าทุกข์เท่านั้น ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่ตัวตนเราเขา ธรรมนี้เกิดขึ้นแล้วดับไป เกิดขึ้นมาดับไปเท่านั้นจะเอาอะไรกับมัน สงสัยทำไมมันเกิดอย่างนั้นเมื่อเกิดอีกทำไมมันไปอย่างนั้นล่ะ สงสัยอย่างนี้มันเป็นทุกข์ ปฏิบัติไปจนตายก็ไม่รู้เรื่อง มันทำให้เกิดเหตุ ไม่ระงับเหตุของมัน
ความเป็นจริง ธรรมที่พวกเราปฏิบัติอยู่ทุกวันนี้ ธรรมนี้นำเราไปสู่ความสงบ สงบจากอะไร จากสิ่งที่ชอบใจ จากสิ่งที่ไม่ขอบใจ ถ้าเราชอบสิ่งที่เราชอบใจ ไม่ชอบสิ่งที่เราไม่ชอบใจ มันไม่หมด ธรรมนี้ไม่ใช่ธรรมระงับ ธรรมนี้เป็นธรรมก่อทุกข์ขึ้นมา ให้เข้าใจอย่างนั้น ฉะนั้น เราจึงสงสัยตลอดเวลา แหม วันนี้ฉันได้มาแล้ว พรุ่งนี้ทำไมหายไปแล้ว มันหายไปไหน ฉันนั่งเมื่อวานนี้ มันสงบดีเหลือเกิน วันนี้ทำไมมันวุ่นวาย มันไม่สงบ เพราะอะไร อย่างนี้ก็เพราะเราไม่รู้เหตุของมัน ครั้นปล่อยวางว่า มันเป็นของมันอยู่อย่างนี้ เห็นไหม มันเป็นอยู่ของมันอย่างนี้ วันนี้มันสงบแล้ว เออไม่แน่นอนหนอ เราต้องเห็นโทษมันอย่างนี้ สงบแล้วมันก็ไม่แน่นอน ฉันไม่ยึดมั่นไว้ สงบก็สงบเถอะ ความไม่สงบก็ไม่แน่นอนเหมือนกัน ฉันไม่ว่า ฉันเป็นผู้ดูเท่านั้น ที่สงบฉันก็รู้ว่าเรื่องมันสงบ ที่ไม่สงบฉันก็รู้ว่าเรื่องไม่สงบ เห็นไหมเรื่องมันเป็นอยู่ของมันอย่างนั้น อย่างนี้มันก็ระงับ มันก็ไม่วุ่นวาย มันจะสงบ ฉันก็รู้ว่ามันเรื่องของมัน ฉันจะดูอยู่แค่นี้แหละ ดูเรื่องที่มันสงบ มันก็ไม่แน่นอน ดูเรื่องที่มันวุ่นวาย มันก็ไม่แน่นอน มันแน่นอนอยู่แต่ว่ามันจะเป็นของมันอยู่อย่างนั้นเราอย่าไปเป็นกับมันเลย ถ้าอย่างนี้ มันก็สบายและสงบ เพราะเรารู้เรื่องมัน ไม่ใช่ว่าเราอยากจะให้เรื่องนั้นเป็นอย่างนั้น อยากให้เรื่องนี้เป็นอย่างนี้ มันสงบ เพราะเรารู้เรื่องว่าเป็นอย่างนั้น แล้ก็มีการปล่อยวาง เราคิดดูซิว่า ถ้าคนทุกคนต้องพูดให้ถูกใจฉัน คนทุกคนต้องทำให้ถูกใจฉัน ฉันจึงจะสงบ ฉันจึงจะสบาย คนทั้งโลกจะให้เขามาพูดถูกใจเรามีไหม จะทำถูกใจเราทุกคนมีไหม ไม่มีเมื่อไม่มี เราก็เป็นทุกข์อยู่ตลอดเวลา ถ้าเราไม่มีการปล่อยวาง เราเกิดมาในชีวิตหนึ่ง เราจะหาความสงบว่า คุณต้องพูดให้ถูกใจฉัน คุณต้องทำให้ถูกใจฉัน ฉันจึงจะสบาย ในชีวิตหนึ่งจะได้สบายไหมคนเรา คุณต้องพูดให้ถูกใจฉัน คุณต้องทำให้ถูกใจฉัน ฉันจึงจะสงบ ถ้าไม่อย่างนั้นฉันก็ไม่สงบ คนคนนี้เกิดมาไม่รู้กี่ชีวิตก็ไม่มีความสงบเพราะคนหลายคน ใครจะมาพูดให้ถูกใจเราทุกคนใครจะมาทำให้ดีทุกหน มันไม่มีหรอกอย่างนี้ นี่มันเป็นธรรมะ เราจะต้องศึกษาอย่างนี้ ฉะนั้น เราจะต้องอดทน อดทนต่ออารมณ์ที่มันเกิดขึ้นมา อย่าไปหมายมั่น อย่าไปยึดมั่นจับมาดูแล้วรู้เรื่อง เราก็ปล่อยมันไปเสีย อย่างนางเตยนี้ เห็นไหม มันทำอย่างนั้น มันถูกใจเราไหม บางทีก็ไปในวัดและก็เข้าห้องน้ำเสีย ฉันจะปลงสังขารเดี๋ยวนี้ ฉันไม่หนีหรอก จะไปรื้อส้วมเอามันออกมา ต่อมามันก็ทำอีก เพราะคนมันเป็นบ้าเสียแล้ว จำเป็นมันก็ต้องปล่อยไป นางเตยมันเป็นบ้าเสียแล้ว เราต้องรู้เรื่องกันว่ามันเป็นบ้ามันสติไม่ดี มันเสียสติ อย่าไปถือมันเลย เขาจะพูดอย่างไรก็รับฟังมันไปเถอะ มันจะทำอย่างไรก็ระวังไว้ มันเป็นอย่างนั้นของมัน เราต้องถอยกลับมาอยู่ตรงนี้ เราก็มีความสบาย อารมณ์ก็เหมือนกันฉันนั้น ที่มันมากระทบเราอยู่ทุกวันนี้ บางทีก็ร้าย บางทีก็ดี บางทีก็ชอบใจ บางทีก็ไม่ชอบใจ คนทุกๆคนนั่งอยู่ในนี้ก็เหมือนกันจะทำให้ถูกใจเราทุกคนมีไหม มันไม่ได้ นอกจากเราปฏิบัติธรรมะให้รู้ว่าคนคนนี้มันเป็นอย่างนี้นานาจิตตังไม่เหมือนกัน เราจำเป็นต้องอบรมใจของเราทุกๆคนเมื่อมันโกรธขึ้นก็ดูความโกรธ ความโกรธนี้มันมาจากไหน เราให้มันโกรธหรือเปล่า ดูว่ามันดีไหม ทำไมเราถึงชอบมัน ทำไมเราถึงไม่ทิ้งมัน เมื่อโกรธขึ้นมาแล้วไม่ดี ไม่ดีเราเก็บมันไว้ทำไม ก็เป็นบ้าเท่านั้น ทิ้งมันเสียถ้าเห็นว่ามันไม่ดี มันก็จะไปในทำนองนี้ เมื่ออยู่ด้วยกันกับคนมากๆ มันก็ยิ่งให้การศึกษาเรามากที่สุด ให้มันวุ่นวายเสียก่อน ให้รู้เรื่องของความวุ่นวายเสียก่อน มันจึงจะถึงความสงบ อย่าหนีไปที่ไหน พระอานนท์กับพระพุทธเจ้าของเราในสมัยก่อน ไปบิณฑบาตบ้านมิจฉาทิฏฐิ พอไปถึงหน้าบ้าน พระพุทธองค์ก็สะพายบาตรยืนเฉย ท่านก็สบายเพราะว่าท่านเข้าใจว่าเรายืนอยู่เฉยๆ มันไม่บาปหรอก เขาจะให้ก็ไม่เป็นไร เขาจะไม่ให้ก็ไม่เป็นไร ท่านยืนอยู่เฉยๆ พระอานนท์เดินย่ำเท้าไปมา อายเขา คิดว่าพระพุทธองค์นี้อยู่ทำไม ถ้าเขาไล่ก็น่าจะหนีไป เขาไม่ให้ก็ยังทนอยู่ ไม่ก่อประโยชน์อะไรเลย พระพุทธองค์ก็เฉย จนกว่าสุดวิสัยแล้วก็ไป บางทีเขาก็ให้ให้ในฐานที่ไม่เคารพ พระพุทธเจ้าก็เอา เขาให้พระพุทธเจ้าก็เอา ท่านไม่หนีไปไหน ไม่เหมือนพระอานนท์ พอกลับมาถึงอาราม พระอานนท์ก็กราบพระพุทธองค์ ถามว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรงไหนที่เขาไม่ใส่บาตรให้เรา เราจะไปยืนอยู่ทำไม มันเป็นทุกข์อายเขา เขาไม่ให้ก็รีบไปที่อื่นเสียดีกว่า” พระพุทธองค์ตรัส “อานนท์ ตรงนี้ถ้าเรายังไม่ชนะมัน ไปที่อื่นก็ไม่ชนะ ถ้าเราชนะอยู่ที่นี่ ไปที่อื่นเราก็ชนะ” พระอานนท์ว่า “ชนะไม่ชนะไม่รู้เรื่องแหละ อายเขา” “อายทำไมอานนท์ อย่างนี้มันผิดหรือเปล่า เป็นบาปไหม เรายืนอยู่ เขาไม่ให้ก็ไม่เป็นไร” พระอานนท์บอกว่า “อาย” “อายทำไม เรายืนอยู่เฉยๆ มันเป็นบาปที่ไหน อานนท์เราจะต้องทำอยู่อย่างนี้ ถ้าเราชนะมันตรงนี้ ไปที่ไหนมันก็ชนะ แต่ถ้าเขาไม่ให้ เราก็ไปที่โน้น ถ้าไปที่โน้นแล้ว เขาไม่ให้ เราจะไปไหน อานนท์” “ไปอีก ไปบ้านโน้นอีก” “ถ้าหากบ้านโน้นเขาก็ไม่ให้ เราจะไปตรงไหน” “ไปตรงโน้นอีก” “เลยไม่มีที่หยุดเลย อานนท์ ถ้าเราไม่ชนะตรงนี้ ไปข้างหน้ามันไม่ชนะ ถ้าเราชนะอยู่ที่นี่แห่งเดียว ไปที่อื่นมันก็ชนะทั้งนั้น อานนท์เข้าใจผิดแล้วไม่ต้องอายซิ”
พระองค์ตรัสว่า อะไรเป็นบาป อันนั้นท่านให้อาย อะไรที่ไม่เป็นบาปจะอายทำไม ใครอายก็โง่เท่านั้น ภาวนายังไม่เป็นเลย ถ้าอายอย่างนั้น เราจะไปอยู่ตรงไหนถึงจะมีปัญญา ถ้าไปอยู่คนเดียว ไม่มีใครพูดดีพูดชั่วให้ มันก็สบายแต่เราจะไม่รู้เรื่อง สบายอย่างนี้ มันไม่มีปัญญา ถ้าถูกอารมณ์แล้ว ปัญญามันไม่มี ก็เป็นทุกข์อย่างนั้น ฉะนั้น เราอยู่ในโลก ก็ต้องมีความสัมพันธ์กับมนุษย์เรื่อยไปเป็นธรรมดา ไม่อยากเป็นมันก็เป็น ไม่อยากจะอยู่มันก็อยู่ เป็นไปอยู่อย่างนั้น ให้เรามาพิจารณาอย่างนั้น เราต้องกลับมาย้อนพิจารณาอารมณ์ที่ท่านตรัสว่า นินทาสรรเสริญมันเป็นคู่กันมา เรื่องนินทาเรื่องสรรเสริญเป็นธรรมดาของโลก ถ้าไม่ดีเขาก็นินทา ถ้าดีเขาก็สรรเสริญพระพุทธองค์ท่านไม่เห็นแก่นินทา ไม่เห็นแก่สรรเสริญ จงเรียนสรรเสริญให้มันรู้จัก จงมาเรียนนินทาให้มันรู้จัก ให้รู้จักสรรเสริญกับนินทา สรรเสริญนินทามันก็มีผลมีเหตุเท่ากัน นินทาเราก็ไม่ชอบ นี่เป็นเรื่องธรรมดาของโลก ถ้าสรรเสริญเราชอบ สิ่งที่เราชอบมันพาให้เราทุกข์มีไหม เช่นว่าเรามีเพชรสักก้อนหนึ่ง เราชอบมาก ชอบกว่าก้อนหินธรรมดา เอาวางไว้ ถ้ามีขโมยมา หยิบเอาก้อนเพชรไป เราจะเป็นอย่างไร นั่นของดีมันหาย ทำให้เราเป็นทุกข์ได้เหมือนกัน ดังนั้น เราต้องอดทนต่อสู้ ให้เรามีสติคุ้มครองจิตของเรา สติคือความระลึกได้ สัมปชัญญะ คือ ความรู้ตัว อันนี้ช่วยประคับประคองดวงใจของเราให้อยู่กับธรรมะ สติระลึกได้ว่า บัดนี้เราจะจับไม้เท้า เมื่อเราจับไม้เท้าอยู่ก็รู้ว่าเราจับไม้เท้านี่เป็นสัมปชัญญะ ถ้าเรารู้อยู่ในขณะนี้ ขณะเมื่อเราจะทำ หรือเมื่อเราทำอยู่ ก็รู้ตามความจริงของมันอยู่อย่างนั้น อันนี้แหละที่จะช่วยประคับประคอบใจของเราให้รู้ธรรมะที่แท้จริง ทีนี้ถ้าหากว่า เราเผลอไปนาทีหนึ่ง ก็เป็นบ้านาทีหนึ่ง เราไม่มีสติสองนาที เราก็เป็นบ้าสองนาที ถ้าไม่มีสติครึ่งวัน เราก็เป็นบ้าอยู่ครึ่งวันเป็นอย่างนี้ สตินี้คือความระลึกได้ เมื่อเราจะพูดอะไร ทำอะไร ต้องรู้ตัว เราทำอยู่ เราก็รู้ตัวอยู่ ระลึกได้อยู่อย่างนี้ คล้ายๆกับเราขายของอยู่ในบ้านเรา เราก็ดูของของเราอยู่ คนจะเข้ามาซื้อของหรือขโมยของของเรา ถ้าเราสะกดรอยมันอยู่เสมอ เราก็รู้เรื่องว่า คนคนนี้มันมาทำไม เราจับอาวุธของเราไว้อยู่อย่างนี้ คือเรามองเห็น พอขโมยมันเห็นเรา มันก็ไม่กล้าจะทำเรา อารมณ์ก็เหมือนกัน ถ้ามีสติรู้อยู่ มันจะทำอะไรเราไม่ได้ อารมณ์มันจะทำให้เราดีใจอยู่อย่างนี้ตลอดไปไม่ได้ มันไม่แน่นอนหรอก เดี๋ยวมันก็หายไป จะไปยึดมั่นถือมั่นทำไม อันนี้ฉันไม่ชอบ อันนี้ก็ไม่แน่นอนหรอก ถ้าอย่างนี้ อารมณ์นั้นก็เป็นโมฆะเท่านั้น เราสอนตัวของเราอยู่ เรามีสติอย่างนี้ เราก็รักษาอย่างนี้เรื่อยๆ ไป ตอนกลางวัน ตอนกลางคืน ตอนไหนๆ ก็ตาม
เมื่อเรายังมีสติอยู่ เมื่อนั้นแหละเราได้ภาวนาอยู่ การภาวนาไม่ใช่ว่าเราจะนั่งสมาธิอย่างเดียว ยืนเดินนั่งอยู่เราก็รู้จัก นอนอยู่เราก็รู้จัก เรารู้จักตัวของเราอยู่เสมอ จิตเรามีความประมาทเราก็รู้จัก ไม่มีความประมาท เราก็รู้จักของเราอยู่ ความรู้อันนี้แหละที่เรียกว่า “พุทโธ” เรารู้เห็นนานๆ พิจารณาดีๆ มันก็รู้จักเหตุผลของมัน มันก็รู้เรื่อง ยกตัวอย่างเช่น ชาวตะวันตกมาอยู่ในประเทศไทย อยู่ไปเฉยๆอย่างนั้น ความที่อยู่ติดต่อใกล้ชิดกันไป ถึงแม้พูดภาษาไม่รู้เรื่องก็ตาม แต่มันรู้เรื่องเข้าใจได้ เห็นไหม มองดูหน้ากันรู้เรื่องกัน ถึงพูดภาษาไม่รู้เรื่อง แต่ก็อยู่กันไปได้ มันรู้กันด้วยวิธีนี้ ไม่ต้องพูดกัน ทำงานก็ต่างคนต่างทำ ทำอยู่ใกล้ๆกันนั่นแหละ ไม่รู้จักพูดกัน มันก็ยังรู้เรื่องกัน อยู่ด้วยกันได้ รู้ได้โดยอากัปกิริยาที่ว่ารักกันหรือชอบกัน อะไรมันก็รู้ของมันอยู่อย่างนี้ เป็นอย่างนั้น เหมือนกันกับแมวกับสุนัข มันไม่รู้ภาษา แต่ว่ามันก็รู้จักรักเจ้าของเหมือนกัน แมวหรือสุนัขอยู่บ้านเรา ถ้าเรามาถึงบ้าน สุนัขมันก็วิ่งไปทำความขอบคุณด้วย เห็นไหม ถ้าเรามาจากตลาดหรือมาจากที่อื่นมาถึงบ้านแมวอยู่ที่บ้านเรา มันก็มาทำความขอบคุณ มันจะร้องว่า เหมียวๆ มันมาเสียดมาสีเรา แต่ภาษามันไม่รู้ แต่จิตมันรู้อย่างนั้น อันนี้เราก็อยู่ไปได้อย่างนั้น เราต้องให้เข้าใจกันอย่างนั้น เราปฏิบัติธรรมะบ่อยๆ จิตมันก็คุ้นเคยกับธรรมะ เช่นว่า ความโกรธเกิดขึ้นมามันเป็นทุกข์ พระท่านว่ามันเป็นทุกข์มาแล้วชอบทุกข์ไหม ไม่ชอบ แล้วเอาไว้ทำไมถ้าไม่ชอบจะยึดเอาไว้ทำไม ทิ้งมันไปสิ ถ้าทุกข์มันเกิดล่ะ คุณชอบทุกข์หรือเปล่า ไม่ชอบ เมื่อไม่ชอบทุกข์แล้วยึดไว้ทำไม ก็ทิ้งมันเสียซิ ท่านก็สอนทุกวันๆ ก็รู้เข้าไปๆ ทุกข์มันเกิดขึ้นมาครั้งหนึ่ง เราก็รู้คำสอนครั้งหนึ่ง ทุกข์เราก็ไม่ชอบ ไม่ชอบทุกข์แต่เราไปยึดไว้ทำไม สอนอยู่เรื่อยๆ บางทีก็เห็นชัด เห็นชัดก็ค่อยๆวาง วางไปก็เป็นเรื่องธรรมดา อย่างเก่า ทีหนึ่งก็ดี สองทีก็ดี สามทีก็ดี มันก็เกิดประโยชน์แล้ว เกิดรู้เรื่องขึ้นแล้ว เมื่อมันเกิดมาความรู้เฉพาะตัวของเรา เราจะนั่งอยู่ก็ดี เดินอยู่ก็ดี นอนอยู่ก็ดี พูดภาษาไม่เป็นแต่จิตเรารู้ภาษาธรรมะ เราปิดปากตรงนี้ไว้ ปิดปากกาย แต่เปิดปากใจนี้ไว้ ใจมันพูด นั่งอยู่เงียบๆ ยิ่งพูดดี พูดกับอารมณ์ รู้อารมณ์เสมอ นี่เรียกว่า “ปากใน” นั่งอยู่เฉยๆ เราก็รู้จัก พูดอยู่ข้างในรู้อยู่ข้างใน ไม่ใช่คนโง่ คนรู้อยู่ข้างใน รู้จักอารมณ์สั่งสอนตัวเองก็เพราะอันนี้... ชีวิตของเรานี้ มันแก่ทุกวัน เกิดมามีการยกเว้น ไม่แก่บ้างไหม วันคืนของเรานี้ ตอนเช้า ตอนเที่ยง ตอนเย็น ตอนค่ำ มันยกเว้นอายุเราไหม วันนี้มันก็ให้แก่ พรุ่งนี้มันก็ให้แก่ นอนหลับอยู่มันก็ให้แก่ นอนหลับอยู่มันก็ให้แก่ ตื่นอยู่ก็ให้โตขึ้นตามเรื่องของมัน เรียกว่า ปฏิปทาของมันสม่ำเสมอเหลือเกิน เราจะนอนอยู่ มันก็ทำงานของมันอยู่ เราจะเดิน มันก็ทำงานคือ ความโตของเรานี่แหละ กลางวันมันก็โต กลางคืนมันก็โต จะนั่งจะนอนมันมีความโตของมันอยู่ เพราะชีวิตประจำวันมันเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ร่างกายของเรามันได้อาหาร มันก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ นี่เรียกว่าปฏิปทาของมัน มันจึงทำให้เราโต จนไม่รู้สึก ดูเหมือนกับไม่ได้ทำอะไรเลย มันก็โตของมันเอง แต่สิ่งที่เราทำคือ เรากินอาหาร กินข้าว ดื่มน้ำ นั่นเป็นเรื่องของเรา เรื่องร่างกายมันจะโตจะอ้วน มันก็เป็นของมัน เราก็ทำงานของเรา สังขารก็ทำงานของสังขาร มันไม่พลิกแพลงอะไร นี่ปฏิปทามันติดต่อกันอยู่เสมอ
การทำความเพียรของเราก็เหมือนกัน ต้องพยายามอยู่อย่างนั้น เราจะต้องมีสติติดต่อกันอยู่อย่างนั้นเสมอ มีความรู้ติดต่อกันอยู่เสมอเป็นวงกลม จะไปถอนหญ้าก็ได้ จะนั่งอยู่ก็ได้ จะทานอาหารก็ได้ จะกวาดบ้านอยู่ก็ได้ ต้องไม่ลืมมีความรู้ติดต่ออยู่เสมอตัวนี้มันรู้ธรรมะมันจะพูดอยู่เรื่อยๆ ใจข้างในมันจะพูดอยู่เรื่อยๆ เป็นอยู่อย่างนั้น มีความรู้อยู่ มีความตื่นอยู่ มีความเบิกบานอยู่สม่ำเสมออย่างนั้น นั้นเรียกว่า เป็นประโยชน์มาก ไม่ต้องสงสัยอะไรเลย อะไรมันเกิดขึ้นมา เราก็เห็นว่าอันนี้มันไม่แน่นอน มันไม่เที่ยงอันนั้นก็ดี แต่ว่ามันไม่แน่นอน มันไม่เที่ยง เท่านี้ละเราก็รู้ของเราไปเรื่อยๆ เท่านั้นแหละการปฏิบัติของเรา มีคนถามว่า การทำภาวนานี้ต้องอธิษฐานหรือไม่ว่า จะทำเวลานานเท่าไร่ ห้า หรือ สิบนาที อาตมาเลยบอกว่า ไม่แน่นอน บางทีอธิษฐานว่า ฉันจะนั่งสามชั่วโมง นั่งไปได้สิบนาทีก็เดือดร้อนแล้ว ไม่ถึงชั่วโมงก็หนีไปแล้ว เมื่อหนีไปแล้วก็มานั่งคิดว่า แหม เรานี้พูดโกหกตัวเราเองเอาแต่โทษตัวเองอยู่ ไม่สบายใจ บางทีก็เอาธูปสักดอกหนึ่งมาจุด อธิษฐานจิตใจว่า ไฟจุดธูปดอกนี้ไม่หมด ฉันจะไม่ลุกหนี ฉันจะพยายามอยู่อย่างนี้ พอท่านพูดอย่างนี้ พญามารก็มาแล้วนั่งเข้าไปสักนิด นั่นทุกข์หลายเหลือเกิน เดี๋ยวมดกัด เดี๋ยวยุงกัด มันวุ่นไปหมด จะลุกหนีไปก็อธิษฐานแล้ว นี่มันตกนรก นึกว่านานเต็มทีแล้ว ลืมตามองดูธูปก็ยังไม่ถึงครึ่งเลย หลับตาอธิษฐานใหม่ต่อไปอีก สามทีสี่ทีธูปก็ยังไม่หมดเลยก็มาคิดเรานี่มันไม่ดีเหลือเกิน โกหกตัวของตัวอยู่ เลยวุ่นยิ่งกว่าเก่าอีก เรานี้เป็นคนไม่ดี เป็นคนอัปรีย์จัญไร เป็นคนโกหกพระพุทธเจ้า โกหกตัวเราเอง เกิดบาปขึ้นมาอีก อาตมาเห็นว่า ต้องพยายามทำไปเรื่อยๆ พอสมควรที่จะเลิกก็เลิก เหมือนกันกับเราทานข้าว เราอธิษฐานมันเมื่อไร ทานไ มันจวนจะอิ่มจะพอ เราก็เลิกเมื่อนั้น กินมากไปก็อาเจียนออกเท่านั้นแหละ ให้มันพอดีอย่างนั้นเราเหมือนพ่อค้าเกวียน ต้องรู้จักกำลังโคของเรา ต้องรู้จักกำลังเกวียนของเรา โคของเรามีกำลังเท่าไร เกวียนของเรารับน้ำหนักได้เท่าไร ต้องรู้จัก ต้องเอากำลังเกวียนของเรา อย่าเอาตามความอยากของเราสิ เรามีเกวียนเล่นเดียว อยากจะบรรทุกหนักให้ขนาดรถสิบล้อ มันก็พังเท่านั้น ก็ตายน่ะสิ มันต้องค่อยๆไป ค่อยๆทำ อย่างนี้ให้รู้จักของเราปฏิปทาเราทำไปเรื่อยๆก็สบาย มันวุ่นวายก็ตั้งใหม่ ถ้ามันวุ่นวายนักก็ลุกเดินจงกรมเสียซิ เดินมันจนเหนื่อย พอเหนื่อยก็มานั่ง นั่งกำหนด มันเหนื่อยมันจะสงบ ระงับ ถ้าเดินก็พอแรง นั่งก็สมควรแล้ว อยากจะพักผ่อนก็พักผ่อนเสีย แต่ว่าจิตใจอย่าลืม มีสติอยู่ ทั้งเดินทั้งนั่ง ทั้งนอน อยู่ให้สม่ำเสมออย่างนั้น ให้เราเข้าใจอย่างนั้น การประพฤติปฏิบัติธรรมต้องไม่ย่อหย่อนจะต้องทำความพยายามอย่างนั้น ความอยากจะเร็วของเรา อันนี้ไม่ใช่ธรรมะ มันเป็นความอยากของเรา ใจอยากจะเร็วที่สุด แต่มันทำไม่ได้ธรรมชาติเป็นอยู่อย่างนั้น เราก็กำหนดจิตปฏิบัติตามธรรมชาติของมันอย่างนั้น อยากจะให้มันเร็วที่สุดนั้น ไม่ใช่ธรรม มันคือความอยากของเรา เราจะทำตามความอยากของเรานั้นไม่จบ ให้รู้จักดูประวัติของพระอานนท์ พระอานนท์นั้นมีศรัทธามากที่สุด พรุ่งนี้เขากำหนดให้พระอรหันต์ทำปฐมสังคายนาแล้ว คณะสงฆ์ก็กำหนดพระอานนท์องค์หนึ่งว่าจะเอาไปร่วมทำสังคายนา แต่จะเอาเฉพาะพระอรหันต์ทั้งนั้น พระอานนท์เหลือเพียงองค์เดียวเท่านั้นที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์ ไม่รู้จะทำอย่างไร พระอานนท์ก็อาศัยความอยาก นึกว่าเราจะต้องทำอะไรหนอ จึงจะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ พรุ่งนี้เขาจะนับเข้าอันดับแล้ว จะประชุมสงฆ์ทำสังคายนา ตอนกลางคืนก็ตั้งใจนั่ง ไม่ได้นอนทั้งคืน นั่งทำอยู่งอย่างนั้น อยากจะเป็นพระอรหันต์ กลัวจะไม่ทันเพื่อนเขาทำไปทุกอย่าง คิดไปทางนี้ก็มีแต่ปัญญาหยาบคิดไปทางโน้นก็มีแต่ปัญญาหยาบ คิดไปทางไหนก็มีแต่ปัญญาหยาบทั้งนั้น วุ่นวายไปหมด คิดไปก็จวนจะสว่าง เรานี่แย่ เราจะทำอย่างไรหนอเพื่อนสหธรรมิกทั้งหลายจะทำสังคายนาแล้ว เรายังเป็นปุถุชนจะทำอย่างไรหนอ ธรรมที่พระพุทธเจ้าทางแสดงไว้ เราพิจารณาทุกอย่างไม่ขัดข้องแต่เรายังตัดกิเลสไม่ได้ ยังไม่เป็นพระอริยเจ้า ทำอย่างไรหนอ เลยคิดว่าเราก็ทำความเพียรมาตั้งแต่ย่ำค่ำจนถึงบัดนี้ หรือมันจะเหนื่อยไปมากกระมัง คิดว่าควรจะพักผ่อน ก็ปล่อยวางทอดธุระหมดเท่านั้น ศีรษะยังไม่ทันถึงหมอนเลย พอเท้าพ้นพื้นเท่านั้น ตอนนั้นขณะจิตเดียว พอดีจิตรวมได้ ที่ตั้งใจว่าจะพักผ่อน มันปล่อยวางทอดธุระตอนนั้นเองพระอานนท์ได้ตรัสรู้ธรรม ตอนที่ว่าอยากจะให้มันเป็นอย่างนั้น อยากจะให้มันเป็นอย่างนี้ ไม่มีเวลาจะพักผ่อน ไม่ปล่อยวาง ก็เลยไม่มีโอกาสที่จะตรัสรู้ธรรม ให้เข้าใจว่า การที่ตรัสรู้ธรรมนั้น มันพร้อมกับการปล่อยว่างด้วยสติปัญญา ไม่ใช่ว่าเราจะเร่งให้มันเป็นอย่างนั้น แต่ด้วยเห็นว่ามันไม่ใช่อย่างนั้น พอพักผ่อน พอวางเข้าปุ๊บ ตรงนั้นไม่มีอะไรเข้ามายุ่ง ไม่มีความอยากเข้ามายุ่ง เลยสงบตรงนั้นเลย พอจิตตอนนั้นรวมดีเป็นโอกาสพบตรงนั้น พระอานนท์เกือบจะไม่รู้ตัว รู้ตัวว่ามันเป็นอย่างนั้นเท่านั้น ที่พระอานนท์อยากจะตรัสรู้ให้มันเป็นอย่างนี้ไม่ได้ นี่คือความอยากแต่พอรู้จักวาง ตรงนั้นแหละคือการตรัสรู้ธรรมะ คนไม่รู้จักมันก็ทำยาก เช่นว่า ตรงนั้นไม่ใช่ที่อยู่ของคน ความวิตกของปุถุชนจะไปวิตกตรงนั้นก็ไม่ได้เช่น นี่พื้น นั่นหลังคา ตรงนี้(ระหว่างหลังคากับพื้น) ไม่มีอะไร เห็นไหม ตางนี้ไม่มีภพ ภพคือหลังคากับพื้น ระยะกลางนี้เรียกว่าไม่มีภพ ถ้าคนจะอยู่ก็ต้องอยู่ข้างล่างหรือข้างบน ตรงนี้ไม่มีคนที่จะอยู่ เพราะว่ามันไม่มีภพ ตรงนี้คนไม่สนใจ การปล่อยวางอย่างนี้ คนไม่สนใจว่าการปล่อยวางมันเกิดอะไรไหม เมื่อขึ้นไปถึงโน้นเป็นภพเคยอยู่ ลงมาทางนี้ก็เป็นภพเคยอยู่ ขึ้นไปข้างบนหน่อยก็สุขสบายหล่นลงมาก็เจ็บ แล้วเป็นทุกข์ มีแต่ทุกข์กับสุขแต่ที่มันจะวางให้เป็นปกติไม่มี เพราะว่าที่ไม่มีภพนั้นคนไม่สนใจ แม้จิตจะวิตกก็ให้วิตกไปในปกติไม่มีภพ ที่พระพุทธองค์ตรัสว่า ไม่มีภพ ไม่มีชาติ คือ ไม่มีอุปทานนั่นเอง อุปาทานเป็นเหตุให้ทุกข์เกิด ถ้าอุปาทานนั้นเราปล่อยไม่ได้ เราอยากจะสงบมันก็ไม่สงบ คนเราอยู่กับภพ ถ้าไม่มีภพ คิดไม่ได้ เพราะนิสัยของคนมันเป็นอย่างนั้น กิเลสของคนเป็นอย่างนั้น พระนิพพานที่พระพุทธองค์ท่านว่าพ้นจากภพชาติ ฟังไม่ได้ ไม่เข้าใจ มันเข้าใจแต่ว่าต้องมีภพชาติ ถ้าไม่มีภพชาติ ถ้าไม่มีที่อยู่ ฉันจะอยู่อย่างไร ยิ่งคนธรรมดาๆ อย่างเราแล้ว ฉันจะอยู่อย่างนี้ไม่ดีกว่าหรือ อยากจะเกิดอีก แต่ก็ไม่อยากตาย มันขัดกันเสียอย่างนี้ ฉันอยากเกิด แต่ฉันไม่อยากตาย มันพูดเอาคนเดียวตามภาษาคนแต่การเกิดแล้วไม่ตายนั้นมีไหมในโลก เมื่อคนอยากเกิดก็คือคนนั้นอยากตายนั่นเอง แต่เขาพูดว่าฉันอยากเกิด แต่ฉันไม่อยากตาย มันคิดสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เขาก็ไปคิดให้มันทุกข์ ทำไมเขาจึงคิดอย่างนั้น เพราะเขาไม่รู้จักทุกข์ เขาจึงคิดอย่างนั้น พระพุทธองค์ท่านว่า ตายนี้มาจากความเกิด ถ้าไม่อยากตาย อย่าเกิดซิ แต่นี่อยากเกิดอีก แต่ว่าไม่อยากตาย พูดกับกิเลสตัณหานี้มันก็ยาก มันก็ลำบาก มันถึงมีการปล่อยวางได้ยาก มีการปล่อยวางไม่ได้อย่างนี้ กิเลสตัณหามันเป็นอย่างนั้น ฉะนั้น ที่พระพุทธองค์ท่านตรัสว่า ไม่มียางต้นเสาอันนี้ อะไรไปเกาะ ไม่มีที่เกาะ ก็จึงไม่มีภพ ไม่มีชาติ ถ้าพูดถึงว่าเราไม่มีภพมีชาติ เราฟังไม่ได้ จนกระทั่งท่านย้ำเข้าไปถึงตัวตนนี้ว่า ไม่มีตัวมีตน ตัวตนนั้นเป็นเรื่องสมมุติทั้งนั้น มันจริงอยู่ มันก็จริงโดยสมมุติ ถ้าพูดถึงวิมุตติ ตัวตนก็ไม่มี เป็นธรรมธาตุอันหนึ่งเกิดขึ้นมาเพราะเหตุเพราะปัจจัยเกิดขึ้นมาเท่านั้น เราก็ไปสมมุติว่ามันเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา เมื่อเป็นสมมุติเป็นตัวเป็นตนก็ยึดตัวยึดตนนั้นอีก เลยเป็นคนมีตน ถ้ามี “ตน” ก็มี “ของตน” ถ้าไม่มี “ตน” “ของตน” ก็ไม่มี ถ้ามี“ตน”มันก็มีสุขมีทุกข์ ถ้ามี“ตน” มันก็มี “ของตน” พร้อมกันขึ้นมาเลย เราไม่รู้เรื่องอย่างนั้น ฉะนั้นคนเราจึงไปคิดว่า อยากเกิดแต่ไม่อยากตาย พูดถึงเรื่องกระแสพระนิพพานแล้ว ถ้าไม่รู้ปัจจัตตังแล้ว ก็ไม่มีใครที่จะปรารถนาอะไรถึงพระนิพพานนี้ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องปรารถนาอีกด้วย พระนิพพานปรารถนาไม่ได้เหมือนกัน อย่างนี้มันเป็นลักษณะที่เข้าใจยาก ถึงเราจะเข้าใจในเรื่องพระนิพพาน แต่จะพูดให้คนอื่นฟัง ก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน มันไม่เข้าใจ เพราะธรรมอันนี้ ถ้าแบ่งให้กันได้มันก็สบายละซิ แต่ธรรมนี้มันเป็นปัจจัตตัง มันรู้เฉพาะตัวของเราเอง บอกคนอื่นได้ แต่มีปัญหาอยู่ว่าคนอื่นจะรู้ไหม ฉะนั้น พระพุทธองค์จึงตรัสว่า “อักขาตาโรตถาคตา” แปลว่าพระตถาคตเป็นแต่ผู้บอก นั่นก็เหมือนกับเราทุกวันนี้แหละ เป็นผู้บอก ไม่ใช่ผู้ทำให้ บอกแล้วให้เอาไปทำ จึงจะเกิดความมหัศจรรย์ขึ้น เกิดความเป็นจริงขึ้นเฉพาะตน เป็น “ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ” วิญญูชนรู้เฉพาะตัวเองทั้งนั้น อย่างพูดวันนี้ จะมาเชื่ออาตมานั้นก็ยังไม่ใช่ของดี มันยังไม่ใช่ของแท้ คนที่เชื่อคนอื่นอยู่ พระพุทธองค์ท่านว่ายังโง่อยู่ พระพุทธองค์ท่านให้รับรู้ไว้ แล้วไปพิจารณาให้มันเกิดขึ้นมาโดยเฉพาะตัวเราเอง ธรรมนี้มันจึงเป็นปัจจัตตังอย่างนั้น ทีนี้ในเรื่องการฟังธรรม ก็ให้ทำความเข้าใจว่าต้องไม่ปฏิเสธ รับฟัง ไม่เชื่อก็พิจารณาดู ไม่เชื่อก็ว่าไม่ว่า เชื่อก็ไม่ว่า วางไว้ก่อน เราจะรู้โดยให้เกิดปัญญา อะไรทุกอย่างถ้าไม่มีเหตุผลเพียงพอในใจของเราเอง ก็ยังไม่ปล่อยวาง คือว่า มีสองข้าง นี่ข้างหนึ่ง นี่ก็ข้างหนึ่ง คนเรานั้นจะแอบเดินมาข้างนี้ หรือแอบเดินไปข้างนั้น ที่เดินไปกลางๆ ไม่ค่อยเดินหรอก มันเป็นทางเปลี่ยวเดี๋ยวรักก็ไปทางรัก พอชังก็ไปทางชัง จะปล่อยการรักการชังนี้ไป มันเป็นทางเปลี่ยว มันไม่ยอมไป
เมื่อพระพุทธองค์ตรัสรู้ธรรมะ ทรงเทศน์เป็นปฐมเทศนาเลย ตรงนี้ ทางหนึ่งเป็นสุขทางกาม ทางหนึ่งเป็นทางทุกข์ทรมานตนเอง สองทางนี้ไม่ใช่ทางสงบ ท่านพูดว่าไม่ใช่ทางของสมณะ สมณะนี้คือ ความสงบ สงบจากสุขทุกข์ ไม่ใช่มีความสุขแล้วมันสงบ ไม่ใช่มีความทุกข์แล้วมันสงบ ต้องปราศจากสุขหรือทุกข์ มันจึงเป็นเรื่องความสงบ ถ้าเราทำอย่างนั้นแล้วมีความสุขใจเหลือเกิน อันนี้ก็ไม่ใช่ธรรมะที่ดีนะ แต่เราต้องวางสุขหรือทุกข์ไว้สองข้าง ความรู้สึกต้องไปกลางๆ เดินผ่านมันไปกลางๆ เราก็มองดู สุขก็เห็น ทุกข์ก็เห็น แต่เราไม่ปรารถนาอะไร เดินมันเรื่อยไป เราไม่ต้องการสุข เราไม่ต้องการทุกข์ เราต้องการ ความสงบ จิตใจของเราไม่ต้องแวะไปหาความสุข ไม่ต้องแวะไปหาความทุกข์ ก็เกินมันไปเรื่อยเป็นสัมมาปฏิปทา เป็นมรรคมีองค์แปด มีสัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบเกิดขึ้นแล้ว สัมมาสังกัปปะ คือ ความดำริวิตกวิจาร มันก็ชอบทั้งนั้น อันนี้เป็นสัมมามรรคเป็นมรรคปฏิปทา ถ้าจะทำอย่างนี้ให้เกิดอย่างนั้น ทีนี้เราได้ฟังเราก็ไปคิดดู ธรรมะทั้งหมดนี้ ท่านต้องการให้ปล่อยวาง ปล่อยวางจะเกิดขึ้นมานั้น ต้องรู้ความเป็นจริง ถึงจะปล่อยวางได้ ถ้าความรู้ไม่เกิด ก็ต้องมีการอดทน มีการพยายาม มีการปฏิบัติธรรมอยู่ มันต้องใช้ทุนอยู่เสมอทีเดียว เรียกว่าต้องปฏิบัติธรรม แต่เมื่อมันรู้เห็นหมดแล้ว ธรรมะก็ไม่ได้แบกเอาไปด้วย อย่างเลื่อยคันนี้ เขาจะเอาไปตัดไม้ เมื่อเขาตัดไม้หมดแล้ว อะไรก็หมด เลื่อยก็เอาวางไว้เลย ไม่ต้องไปใช้อีก เลื่อยคือธรรมะ ธรรมะต้องเอาไปปฏิบัติเพื่อให้บรรลุมรรคผล ถ้าหากว่ามันเสร็จแล้ว ธรรมะที่อยู่ก็วางไว้ เหมือนเลื่อยที่เขาตัดไม้ ท่อนนี้ก็ตัด ท่อนนี้ก็ตัด ตัดเสร็จแล้วก็วางไว้ที่นี่ อย่างนั้นเลื่อยก็ต้องเป็นเลื่อยไม้ก็ต้องเป็นไม้ นี่เรียกว่าถึงหยุดแล้ว ถึงจุดของมันที่สำคัญแล้ว สิ้นการตัดไม้ ไม่ต้องตัดไม้ ตัดพอแล้ว เอาเลื่อยวางไว้ การประพฤติปฏิบัติต้องอาศัยธรรมะ ถ้าหากว่าพอแล้ว ไม่ต้องเพิ่มมัน ไม่ต้องถอนมัน ไม่ต้องทำอะไร ปล่อยวางอยู่อย่างนั้น เป็นไปตามธรรมชาติอันนั้น ถ้าไปยึดมั่นหมายมั่น สงสัยอันนี้เป็นอย่างนั้น มันอยู่ไกลเหลือเกิน อยู่ไกลมากทีเดียว ยังเป็นเด็กอยู่ ยังเป็นเด็กอมมืออยู่นั่นแหละ ทำอะไรไม่ถูกอยู่นั่น ไม่เอาแล้วอย่างนั้น มันเป็นทุกข์ต้องดู ต้องดูออกจากจิตใจของเรา ดูมันปล่อยมัน ดูว่าอะไรมันเกิดขึ้น ก็รู้ว่าอันนี้ไม่แน่ อันนี้เกิดไม่จริง อันนี้มันปลอม ความจริงมันก็อยู่อย่างนั้น ที่เราอยากให้อันนั้นเป็นอันนี้ อันนี้เป็นอันนั้น นั่นไม่ใช่ทาง มันเป็นอยู่อย่างนั้น ก็วางมันเสีย ความสงบเกิดขึ้นได้ เราข้ามไปข้ามมา มันไม่รู้เรื่อง ก็เป็นทุกข์ตลอดเวลา หายสงสัยเสีย อย่าไปสงสัยมัน เลิกมันเถอะ อย่างไปเป็นทุกข์หลายพอแล้ว ปล่อยวางมันเสีย (หัวเราะ)